“ฮ่วมใจ๋ ไตรพลัง แป๋งอาหารปลอดภัย @เจียงฮาย”

สถานการณ์การบริโภคอาหาร
ความมั่นคงทางอาหาร
และความรอบรู้ด้านอาหารของประชากรไทย
รศ.ดร.สิรินทร์ยา พูลเกิด
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล

1. การบริโภคอาหารตามเกณฑ์โภชนาการ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคไม่ติดต่อ (NCDs) หลักโภชนาการในประเทศไทยอ้างอิงจาก “ธงโภชนาการ” ซึ่งกำหนดปริมาณการบริโภคให้เหมาะสม ตามอายุ เพศ และความต้องการพลังงานในแต่ละวัน โดยคนที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไปควรบริโภคอาหารตามสัดส่วนในแต่ละวัน ได้แก่ ข้าว/แป้ง 8-12 ทัพพี ผัก 4-6 ทัพพี ผลไม้ 3-5 ส่วน เนื้อสัตว์ 6-12 ช้อนโต๊ะ นม 1-2 แก้ว และลดการบริโภคน้ำมัน น้ำตาลสูง และเกลือ จากการศึกษาสถานการณ์การบริโภคอาหารของประชากรไทยพบว่า คนที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไปประมาณร้อยละ 70 ได้กินอาหารครบ 3 มื้อทุกวัน และโดยรวม การกินข้าว/แป้งได้น้อยกว่าเกณฑ์ธงโภชนาการเป็นจำนวนเกือบ 2 ใน 3 คน(คิดเป็นร้อยละ 62.0) กินผักได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 72.1 กินผลไม้ได้น้อยกว่าเกณฑ์ธงโภชนาการเป็นจำนวนเกือบ 2 ใน 3 คน (ร้อยละ 65.2) กินเนื้อสัตว์ได้ตามเกณฑ์ธงโภชนาการร้อยละ 35.9 และกว่าครึ่งหนึ่งกินเกินเกณฑ์แนะนำร้อยละ 51.4 กินนมน้อยกว่าเกณฑ์แนะนำ ร้อยละ 96.0

2. กลุ่มประชากรที่บริโภคอาหารไม่เหมาะสมหรือต่ำกว่าเกณฑ์ มีอยู่ในหลายกลุ่มของสังคมไทย โดยคนที่บริโภคอาหารไม่ครบ 3 มื้อคือ กลุ่มคนวัยทำงาน 15-59 ปี (ร้อยละ 67.2) คนที่กินข้าว/แป้งน้อยกว่าเกณฑ์ธงโภชนาการเป็น กลุ่มคนวัยทำงาน และเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย คนที่กินผักได้ต่ำกว่าเกณฑ์ คือ เด็ก โดยกินเฉลี่ยได้ไม่ถึง 1 ทัพพีต่อวัน คนกินผลไม้ได้น้อยกว่าเกณฑ์คือ เด็กอายุ 1-5 ปี (ร้อยละ 84.2) คนกินเนื้อกินเกินเกณฑ์มาตรฐานคือ เด็กอายุ 1-5 ปี และ 6-14 ปี (ร้อยละ 73.5 และร้อยละ 73.2 ตามลำดับ) และกินนมน้อยกว่าเกณฑ์มี จำนวนลดลงอย่างชัดเจนในกลุ่มคนวัยคนทำงานและผู้สูงอายุ

3. ปัจจัยที่กำหนดพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ถูกกำหนดจากหลายปัจจัย ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ปัจจัยแรกที่มีผลอย่างมาก คือ ความรู้ด้านโภชนาการ ประชากรที่มีความรู้เกี่ยวกับอาหารที่ดีต่อสุขภาพและผลกระทบของอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล และเกลือสูง มักจะมีพฤติกรรมการบริโภค ที่ดีขึ้น การรณรงค์ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) พยายามส่งเสริมการบริโภคอาหารที่สมดุลและให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญ ของการเลือกอาหาร นอกจากนี้ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ การเข้าถึงอาหาร ที่มีคุณภาพสูง มักมีราคาแพง และวิถีชีวิตที่เร่งรีบของคนวัยทำงานที่ไม่มีเวลาเตรียมอาหารที่มี คุณค่าทางโภชนาการอย่างเหมาะสม แล้วหันไปบริโภคอาหารสำเร็จรูปที่มีปริมาณ ไขมัน น้ำตาล และเกลือสูง ความรอบรู้ด้านอาหาร ความรอบรู้ด้านอาหารเป็นการประเมินรอบรู้ด้าน จากความจำ (Knowledge) ทัศนคติ (Attitude) ทักษะความสามารถ (Skill) พฤติกรรม (Behavior) และการบริโภค (Consumption)ซึ่งเป็นไปตามนิยามปฏิบัติ การความรอบรู้ด้านอาหารของแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส.

4. ความรอบรู้ด้านอาหารในด้านความรู้ ทักษะ และพฤติกรรม การมีความรอบรู้ด้านอาหารหมายถึงการที่บุคคลสามารถเลือกอาหารที่เหมาะสมต่อสุขภาพได้โดยมีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับโภชนาการ และสามารถใช้ทักษะในการเตรียมอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การประเมินความรอบรู้ด้านอาหารของประชากรไทย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับอาหารที่ส่งผลดีและเสียต่อสุขภาพ เช่น ผู้ตอบแบบสำรวจทราบว่าอาหารปิ้งย่างและทอดเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง  จำนวนร้อยละ 94.8 และทราบว่าอาหารทอดมีส่วนทำให้ระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี ในเลือดสูงขึ้นจำนวนร้อยละ 85.3 อย่างไรก็ตาม ทักษะและพฤติกรรมการบริโภค อาหารที่ดีต่อสุขภาพยังคงเป็นปัญหา คนไทยหลายคนยังขาดทักษะในการเตรียม อาหารอย่างถูกต้อง เช่น การล้างผักและผลไม้ให้ปลอดภัย หรือการปรุงอาหารที่ ลดปริมาณไขมันและเกลือ นอกจากนี้พฤติกรรมการบริโภคอาหารยังไม่สอดคล้องกับ ความรู้ที่มี แม้ว่าจะมีความรู้ว่าการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงไม่ดี ต่อสุขภาพ แต่หลายคนยังคงเลือกบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน หรือเครื่องดื่มรสหวาน​ 5. ความรอบรู้ด้านอาหารและการบริโภคของคนไทย จากการศึกษาพบว่า คนไทยยังมีความรอบรู้ด้านอาหารในระดับต่ำ มีพฤติกรรมการบริโภคที่ ไม่สอดคล้องกับความรู้ ส่วนใหญ่ยังเลือกบริโภคอาหารที่มีไขมันเกลือ และน้ำตาลสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศไทยมีปัญหา ด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับอาหาร เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจเพิ่มขึ้น​อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของความรู้และการบริโภคอาหารที่ดี แม้บางกลุ่มจะมีความรู้เรื่องโภชนาการ แต่ทักษะในการประยุกต์ใช้ความรู้นี้ยังคงมีจำกัด ดังนั้นการสร้าง ความรอบรู้ด้านอาหารจำเป็นต้องมีมาตรการที่ไปไกลกว่าการให้ความรู้ โดยเพิ่มการปรับทัศนคติ ทักษะ และการบริโภค เชื่อมกับการสร้างสิ่งแวดล้อมทางอาหารที่ดีไปพร้อมกัน

การบริโภคอาหารของประชากรในจังหวัดเชียงราย พบว่ากลุ่มประชากรในจังหวัดเชียงรายได้กินอาหารครบ 3 มื้อทุกวันจำนวนร้อยละ 83.0 แต่กินข้าว/แป้งได้น้อยกว่าเกณฑ์ธงโภชนาการเป็นจำนวนเกือบครึ่งหรือร้อยละ 49.5 กินผักได้ น้อยกว่าเกณฑ์โภชนาการโดยมีจำนวนร้อยละ 57.0 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยตามเกณฑ์ คือจำนวนร้อยละ 25.5 เชียงรายมีการกินผักมากกว่าจังหวัดอื่นๆ คือร้อยละ 43 กินผลไม้ได้น้อยกว่าเกณฑ์ธงโภชนาการเป็นจำนวน 3 ใน 4 คน (ร้อยละ 71.6) กินเนื้อสัตว์ได้ตามเกณฑ์ธงโภชนาการเป็นจำนวน 1 ใน 4 คน (ร้อยละ 25.8)  ทั้งกินเนื้อสัตว์เกินเกณฑ์เป็นจำนวนร้อยละ 65 และกินนมน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน จำนวนสูงถึงร้อยละ 91.5 ความไม่มั่นคงทางอาหารในระดับปานกลางและรุนแรง ร้อยละ 1.5 และร้อยละ 0.5 ตามลำดับ และทัศนคติเกี่ยวกับการบริโภคอาหารที่ดี ได้คะแนนเฉลี่ย 75.2 คะแนน

Shares:
QR Code :
QR Code