“เวทีโชว์ แชร์ เชื่อม ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ” สานพลังภาคี สสส. ภาคเหนือตอนบน ขับเคลื่อน ‘สูงวัยมีสุข’ และ ‘ปลอดบุหรี่ไฟฟ้า’ ใน จ.แพร่”

“เวทีโชว์ แชร์ เชื่อม ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ” สานพลังภาคี สสส. ภาคเหนือตอนบน ขับเคลื่อน ‘สูงวัยมีสุข’ และ ‘ปลอดบุหรี่ไฟฟ้า’ ใน จ.แพร่”
สสส.สานพลังภาคีภาคเหนือตอนบนจัด “เวทีโชว์ แชร์ เชื่อม ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ” โดยโครงการพัฒนาระบบและกลไกสนับสนุนวิชาการขับเคลื่อนงานสุขภาวะภาคเหนือตอนบน ในตอน สร้างเครือข่ายสูงวัยมีสุข & เยาวชนรุ่นใหม่ห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า จ.แพร่ และ ตอน อาหารปลอดภัย สูงวัยมีสุข จ.น่าน ระหว่างวันที่ 27-28 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กิตติ เมืองตุ้ม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ (มรอ.) กล่าวว่า โครงการ “พัฒนาระบบและกลไกสนับสนุนวิชาการเพื่อขับเคลื่อนงานสุขภาวะภาคเหนือตอนบน” เป็นภารกิจที่ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ (มรอ.) ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โครงการฯ เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นที่จะสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนอย่างยั่งยืน โดยเดินหน้าต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2561 ด้วยเป้าหมายเดียวกันคือ “สุขภาพดีวิถีล้านนา” ผ่านการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้ง 8 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พะเยา ลำพูน แพร่ และน่าน
กลไกภาควิชาการเชื่อมภาคี ตั้งแต่ “ต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำ”
มรอ.ทำหน้าที่เป็น “กลไกภาควิชาการ” ที่สังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (ต้นน้ำ) เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยน–ต่อยอดนวัตกรรม เสริมศักยภาพภาคี (กลางน้ำ) และยกระดับข้อค้นพบสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย (ปลายน้ำ) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระดับจังหวัดและระดับภาค
เวที “โชว์ แชร์ เชื่อม” โดยทำหน้าที่เป็นพื้นที่กลางสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ รูปธรรมความสำเร็จ และนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาควิชาการ ภาคนโยบาย และภาคประชาสังคม นำความสำเร็จจากพื้นที่มาแลกเปลี่ยนบทเรียน สรุปเป็นองค์ความรู้ และทำข้อตกลงปฏิบัติร่วมกัน
3 ประเด็นสู่ 5 วาระ
ในช่วงแรก โครงการได้กำหนดประเด็นร่วมในการขับเคลื่อนไว้ 3 ประเด็นหลักที่ทุกคนต่างตระหนักถึงความสำคัญ ได้แก่ อากาศสะอาด, ความมั่นคงทางอาหาร และ ระบบรองรับสังคมสูงวัย แต่เมื่อโครงการดำเนินไป เครือข่ายการทำงานในพื้นที่กลับค้นพบว่าปัญหาสุขภาพมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันมากกว่าที่คิด จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มประเด็นเร่งด่วนอีก 2 เรื่องเข้ามา คือ สุขภาพจิต และ บุหรี่ไฟฟ้า
สามเสาหลักของการมีส่วนร่วม
รองศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ พิญญาพงษ์ หัวหน้าทีมสนับสนุนวิชาการ มรอ. กล่าวว่า “เวที โชว์ แชร์ เชื่อม ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ” เป็นกลไกสำคัญในการ ขับเคลื่อนงานสุขภาวะเชิงประเด็น ในระดับพื้นที่ ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด โดยมีเป้าหมายหลักคือการ สร้างการมีส่วนร่วม ที่แท้จริงผ่านการเชื่อมโยงและบูรณาการการทำงานของภาคีเครือข่าย โดยมีกรอบ “สามเสาหลักของการมีส่วนร่วม” ได้แก่
- สร้างและเชื่อมกลไก เน้นการบูรณาการความร่วมมือข้ามภาคส่วนอย่างชัดเจนระหว่างภาคนโยบาย, ภาคประชาสังคม, และภาควิชาการ เพื่อกำหนดแกนนำเชื่อมประสานงาน ในทุกระดับ
- สร้างความเข้าใจ–เป้าหมายร่วม ผ่านประเด็นร่วมและเวทีเรียนรู้ เช่น สังคมสูงวัย, บุหรี่ไฟฟ้า, สุขภาพจิต, อาหาร, อากาศ และใช้ พื้นที่กลาง รวมถึงเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อสร้างความเข้าใจในยุทธศาสตร์ร่วมกัน
- สนับสนุนและยกระดับ สร้างผู้นำ สนับสนุนด้วยระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ และความรู้ทางวิชาการ เพื่อผลักดันงานสุขภาวะให้บรรลุผลอย่างยั่งยืน
จังหวัดแพร่เดินหน้าขับเคลื่อนงานสุขภาวะเชิงประเด็น โดยเน้นยุทธศาสตร์การทำงานผ่าน “กลไกกลาง” เพื่อสร้างความยั่งยืนและบูรณาการการทำงานในพื้นที่ ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การ จัดการความรู้และบทเรียนเชิงระบบ แผนการเชื่อมประสานภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนงานสุขภาวะเชิงประเด็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่
1.ติดตามประเมินถอดบทเรียนการทำงานถอดบทเรียนเพื่อขยายผลพื้นที่เรียนรูู้
2.กลไกจังหวัด ติดตามการทำงานระดับพื้นที่เชื่อมประสานกลไกระดับพื้นที่เพื่อร่วมกันทำงาน
3.พื้นที่กลาง สร้างความเข้าใจเป้าหมายยุทธศาสตร์ ตัวชี้วัด ระดับจังหวัด
4.บูรณาการเครือข่ายพัฒนาความร่วมมือบูรณาการการทำงาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนจังหวัดแพร่
ภาพรวมสถานการณ์ “สังคมสูงวัย”
สถานการณ์สังคมสูงวัยและความสำคัญของการจัดการระบบรองรับสังคมสูงวัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติวรรณ จันทร์ฤทธิ์ ทีมสนับสนุนวิชาการ มรอ. ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” แล้ว และคาดว่าจะเป็น สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) ภายใน พ.ศ. 2583 สัดส่วนผู้สูงอายุ 31.38% หรือราว 20.51 ล้านคน ภาคเหนือตอนบนเผชิญรุนแรงกว่าเฉลี่ยประเทศ หลายจังหวัดก้าวสู่ Super Aged แล้ว โดยมีจังหวัดที่สัดส่วนสูงมาก ได้แก่ ลำปาง 30.27% และ แพร่ 29.66% จังหวัดแพร่มี อัตราส่วนพึ่งพิงผู้สูงอายุ 45.2 และ Support Ratio 2.2 (วัยแรงงาน 2.2 คนต่อผู้สูงวัย 1 คน) สะท้อนภาระต่อครัวเรือนและระบบบริการ
วิกฤต “พลัดตกหกล้ม” และคำตอบเชิงระบบ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติวรรณ ให้ข้อมูลต่อว่า เขตสุขภาพที่ 1 มีการเสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้มสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า ผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักมีการเสียชีวิต 20% ภายใน 1 ปี หากดูแลแบบดั้งเดิม ปัจจัยแวดล้อมทำให้หกล้มกว่า 52% เกิดมากสุดในห้องนอนและห้องน้ำ
แพร่โมเดล ซึ่งเป็นการต่อยอดงานวิจัยจาก “น่านโมเดล” โดยความร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราชและ สสส. เพื่อนำร่องใน 18 ตำบล กลไกสนับสนุนที่สำคัญคือการใช้ กองทุนสุขภาพท้องถิ่น และ กองทุนฟื้นฟูของ อบจ. เพื่อจัดหาอุปกรณ์และการดำเนินงานป้องกันในระดับปฐมภูมิ ตั้งเป้าหมาย “ไม่หัก ไม่ล้ม” ภายใต้โปรโตคอล “Fast Track” โดยเน้นการดูแลที่รวดเร็วและยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (Patient-Centric) ผ่านขั้นตอนสำคัญดังนี้
- ER Fast Pass ลดเวลารอในฉุกเฉิน 38 นาที
- Early Surgery ผ่าตัดภายใน 48 ชม. ด้วยเทคนิคแผลเล็ก ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ป่วยลุกเดินลงน้ำหนักได้เต็มที่ทันทีหลังผ่าตัด
- Orthogeriatric Co-care ทีมสหวิชาชีพ อายุรแพทย์ร่วมดูแล
- Early Mobilisation กายภาพเข้มข้นอย่างน้อย 2 ชม./วัน และดูแลต่อเนื่องระยะกลาง (IMC) เพื่อลดอัตราการเป็นผู้ป่วยติดเตียงถาวร
ระบบ Fast Track นี้สอดคล้องกับแนวคิด Value-Based Healthcare (VBHC) ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพตามคุณค่า โดยมีเป้าหมายคือ ผู้สูงวัยต้องไม่หัก ไม่ล้ม หากเกิดอุบัติเหตุแล้วต้องได้รับการปฏิบัติการเร็ว เพื่อให้ผู้ป่วยมีสุขภาวะที่ดีและอายุยืนยาว ซึ่งกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนที่สุดคือ การป้องกัน เนื่องจากปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุของการหกล้มมากกว่า 52% โดยเฉพาะใน ห้องนอนและห้องน้ำ จึงจำเป็นต้องมีการประเมินและปรับปรุงสภาพแวดล้อมในบ้านควบคู่ไปกับการรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การขับเคลื่อนใช้งบประมาณจาก กองทุนสุขภาพท้องถิ่น และ กองทุนฟื้นฟู อบจ. นำร่อง 18 ตำบล พร้อมบูรณาการ รพ.–รพ.สต. ที่ถ่ายโอนสังกัด อบจ. เพื่อทำให้ป้องกัน–รักษา–ฟื้นฟูเชื่อมติดกัน
ภัย “บุหรี่ไฟฟ้า” เร่งแก้ไขด่วนในเยาวชน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์ศักดิ์ อ้นมอย ทีมวิชาการ มรอ. ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าระบาดในเยาวชนสอดคล้องกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระดับประเทศที่จำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 11.4 เท่า ในช่วงปี 2564-2567 โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน กลุ่มเยาวชนอายุ 13-15 ปี ที่มีอัตราการใช้เพิ่มขึ้นถึง 5.3 เท่า ซึ่งในจังหวัดแพร่เองก็พบปัญหาการสูบบุหรี่ไฟฟ้าใน บ้านและสถานศึกษา ในระดับที่ค่อนข้างสูง และ อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มสูบมีแนวโน้มลดลง อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายต่อสุขภาพประชากรในระยะยาว
ภาระโรคสะสมทวีความรุนแรง
ผลกระทบของการบริโภคยาสูบต่อสุขภาพของประชากรจังหวัดแพร่มีความชัดเจน เมื่อพบว่า จำนวนผู้ป่วยจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 40,203 คน ในปี 2565 เป็น 53,124 คน ในปี 2567 หรือ เพิ่มขึ้นถึง 32% ภายในระยะเวลา 2 ปี สะท้อนถึงภาระที่หนักอึ้งต่อระบบสาธารณสุขในกลุ่มโรคสำคัญ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
ด้วยข้อมูลที่ชี้ชัดถึง การเปลี่ยนผ่านสู่บุหรี่ไฟฟ้า และ ภาระโรคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน จึงถือเป็น ความท้าทายสำคัญและมีความจำเป็นเร่งด่วน ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างกลไกป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและเป็นระบบ
ล้านนาน่าอยู่ “ปลอดบุหรี่ไฟฟ้า” ด้วยยุทธศาสตร์ 3 ป.
ภาคเหนือตอนบนกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า อย่างจริงจัง ภายใต้วิสัยทัศน์ “ล้านนาน่าอยู่ ปลอดบุหรี่ไฟฟ้า” โดยมีเป้าหมายหลักในการ ลดจำนวนนักสูบหน้าใหม่ เนื่องจากผลสำรวจในจังหวัดลำปางเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 พบตัวเลขน่าตกใจว่า 12% ของเยาวชน เคยมีประสบการณ์การสูบบุหรี่ไฟฟ้า และส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่มวนได้และมีอันตรายน้อยกว่า นอกจากนี้ยังพบช่องว่างด้านการสื่อสาร โดย 58.02% ของเยาวชนไม่เคยได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครอง และ 35.48% ไม่เคยได้รับคำแนะนำจากครูอาจารย์
ภาคเหนือตอนบนจึงวางยุทธศาสตร์ระยะยาว ได้กำหนด ยุทธศาสตร์ “3 ป.” เพื่อรับมือกับปัญหานี้อย่างครอบคลุม ประกอบด้วย
1.ป้องกัน: เน้นการพัฒนา หลักสูตรการป้องกันภยันตราย ในสถานศึกษา และการ เฝ้าระวังเครือข่าย ในชุมชนและสื่อ
2.ปลูกฝัง: สร้าง ความตระหนักรู้ ในทุกช่วงวัย และรณรงค์ ค่านิยมการไม่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยเน้นการเป็นแบบอย่างที่ดีของบุคคลและครอบครัว
3.ปราบปราม: เพิ่มประสิทธิภาพการ บังคับใช้กฎหมาย และจัดทำ มาตรการข้อตกลงร่วม/ธรรมนูญ ในระดับพื้นที่ เพื่อควบคุมการใช้และการเข้าถึง
พื้นที่นำร่อง–ขยายผล
การขับเคลื่อนเชิงปฏิบัติการดำเนินงานในหลายระดับ โดย กขป. เขต 1 ใช้กรอบการดำเนินงาน 4 ขั้นตอน ตั้งแต่การพัฒนาชุดข้อมูลไปจนถึงการถอดบทเรียนและสร้างข้อตกลงร่วมกันในพื้นที่นำร่อง เช่น วิทยาลัยเทคนิคแพร่ และโรงเรียนอนุบาลลำปาง ขณะที่ จังหวัดลำปาง ได้วางแผนปฏิบัติการที่มุ่งเน้นการสร้าง วิทยากรแกนนำ จำนวนมากถึง 90 คน จากสถานศึกษาและชุมชน เพื่อขยายผลหลักสูตรการป้องกันและจัดทำธรรมนูญโรงเรียน ในพื้นที่เป้าหมายรวม 24 แห่ง ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และสกัดการเป็นนักสูบหน้าใหม่ในระยะยาว
ทิศทางการพัฒนาเครือข่ายระยะยาว
กรอบการดำเนินงานพัฒนาระบบและกลไกสนับสนุนภาคีสุขภาวะในภาพรวมของภาคเหนือตอนบน ปี 2566 – 2567 มุ่งเน้นไปที่การเก็บรวบรวมชุดข้อมูลภาคี เติมฐานข้อมูลเชิงสถานการณ์ทั้ง 5 ประเด็น และการยกระดับเครือข่ายสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง โดยมีกลไกสนับสนุนระดับเขต (Core Team) เป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายคือการยกระดับนโยบายสาธารณะ ใช้ผลลัพธ์เวที “โชว์ แชร์ เชื่อม” ผลักดัน สมัชชาสุขภาพจังหวัด และธรรมนูญชุมชน–สถานศึกษา เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ “ล้านนาน่าอยู่ ปลอดภัย รองรับสังคมสูงวัย”
เวที “โชว์ แชร์ เชื่อม” คือ พื้นที่กลาง ที่พา 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนไปสู่เป้าหมาย “ล้านนาน่าอยู่ ปลอดภัย รองรับสังคมสูงวัย และปลอดบุหรี่ไฟฟ้า” อย่างแท้จริง
