สร้างสุขภาคใต้ครั้งที่ 14 : บทเรียนสองทศวรรษ ข้อเสนอเชิงนโยบาย และความท้าทายสู่อนาคต เพื่อภาคใต้แห่งความสุข

 

สร้างสุขภาคใต้ครั้งที่ 14 : บทเรียนสองทศวรรษ ข้อเสนอเชิงนโยบาย และความท้าทายสู่อนาคต เพื่อภาคใต้แห่งความสุข

เวทีสาธารณะ “20 ปี ความสุขคนใต้ เหลียวหลัง แลหน้า เพื่อภาคใต้แห่งความสุข” เพื่อทบทวนเส้นทางการทำงานสร้างสุขภาคใต้ตลอดสองทศวรรษ และกำหนดทิศทางการเดินหน้าสู่อนาคต โดยมีผู้แทนจาก 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ นายชาคริต โภชะเรือง ผู้แทนประเด็นความมั่นคงทางสุขภาพ นายจีรศักดิ์ พูลสง ผู้แทนประเด็นความมั่นคงทางมนุษย์ นายกำราบ พานทอง ผู้แทนประเด็นความมั่นคงทางอาหาร และนายเอกณัฐ บุญยัง ผู้แทนประเด็นความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินรายการโดย คุณณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้ประกาศจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส

การอภิปรายชี้ให้เห็นว่า “ความสุข” ของภาคใต้แม้จะเกิดขึ้นในรูปแบบการทำงานผ่านเครือข่ายและชุมชนที่เป็นต้นแบบ แต่ในภาพรวมของภาคอาจจะยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าสามารถสร้าง “ความสุข” ที่แท้จริงได้แล้วหรือยัง เนื่องจากขาดตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรมและระบบประเมินผลที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งข้อจำกัดเชิงโครงสร้างและการรวมศูนย์นโยบายยังเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันข้อเสนอระดับภาคเข้าสู่ระบบนโยบายชาติ ข้อวิจารณ์สำคัญคือการทำงานที่ยังติดอยู่กับกรอบ โครงการ ที่ต้องพึ่งพางบประมาณ ทำให้ไม่ต่อเนื่องและไม่สามารถสร้างพลังร่วมได้อย่างกว้างขวาง

ผู้ร่วมเสวนาจึงเสนอให้เปลี่ยนการทำงานไปสู่ กระบวนการสร้างสุข 365 วัน ที่เป็นของทุกคน เปิดพื้นที่ให้เครือข่ายและประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของร่วม และใช้บทบาทของหน่วยงานกลางในฐานะ “แพลตฟอร์ม” และ “ระบบสนับสนุน” มากกว่าผู้กำหนดทิศทาง พร้อมทั้งสร้าง Road Map ที่ชัดเจน โดยเน้นที่การจัดความรู้ การสร้างนวัตกรรมสุขภาวะ เพื่อยกระดับการทำงานของภาคีสุขภาวะ นอกจากนี้ควรนำข้อเสนอเชิงนโยบายเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง ขยายเครือข่าย และยกระดับเป็น “Well-being Network” ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่

ข้อเสนออีกประการหนึ่ง คือ การบูรณาการทำงานข้ามประเด็นและพื้นที่ โดยเน้นพื้นที่ระดับตำบลเป็นฐาน เนื่องจากมีทรัพยากรและอำนาจตามกฎหมายรองรับ สามารถเป็น “Sandbox Model” โดยกำหนดพื้นที่นำร่อง เช่น จังหวัดละ 3-5 ตำบล ที่นำเอาหลัก 4 ความมั่นคงไปปฏิบัติจริงสร้างระบบการจัดการข้อมูลร่วมกันในระดับพื้นที่ และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบทเรียนจากพื้นที่นำร่อง

หัวใจสำคัญที่ผู้ร่วมเสวนาย้ำคือ การสร้างการเปลี่ยนแปลงต้องไม่อาศัยเพียงสมอง แต่ต้องเชื่อมโยงกับหัวใจ ผ่านศรัทธา การร่วมทุกข์ร่วมสุข และปัญญาที่ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับความรู้วิชาการ เพื่อสร้างตัววัดความสุขที่สะท้อนวิถีของคนใต้จริง ๆ และทำให้ “ภาคใต้แห่งความสุข” ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นความจริงที่จับต้องได้และยั่งยืน

ข้อเสนอเชิงนโยบายความมั่นคง 4 มิติ ที่นำไปสู่ภาคใต้แห่งความสุข

ความมั่นคงทั้ง 4 มิติ เป้าหมายที่นำไปสู่ภาคใต้แห่งความสุข ประกอบด้วย 1. ความมั่นคงทางอาหาร 2. ความมั่นคงทางมนุษย์ 3. ความมั่นคงทางสุขภาพ 4. ความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อเสนอเชิงนโยบายจากงานสร้างสุขภาคใต้ครั้งที่ 14 สรุปได้ ดังนี้

1.ความมั่นคงทางอาหาร

หนึ่งในประเด็นยุทธศาสตร์ของภาคใต้ โดยครอบคลุมระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ ทั้งการมีการผลิตอาหารเพียงพอ การเข้าถึงอาหาร การใช้ประโยชน์จากสารอาหาร และการมีเสถียรภาพด้านอาหาร ซึ่งหมายถึงการที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถบริโภคอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีโภชนาการที่เหมาะสมได้แม้ในภาวะวิกฤต 

หากแต่สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนความท้าทายหลายด้าน โดยรายงานสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบว่าภาคใต้มีความไม่มั่นคงทางอาหารระดับปานกลางหรือรุนแรงสูงเป็นอันดับสองของประเทศที่ร้อยละ 5.40 และยังมีสัดส่วนความไม่มั่นคงทางอาหารรุนแรงสูงสุดที่ร้อยละ 1.08 โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอายุ 0–14 ปี ขณะเดียวกัน พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องพึ่งพิงอาหารจากภายนอกเป็นส่วนใหญ่ ผลิตข้าวได้เพียงร้อยละ 10.6 เนื้อสัตว์ร้อยละ 12.8 และไข่เพียงร้อยละ 5.6 ของความต้องการ ส่งผลให้ครัวเรือนแบกรับค่าใช้จ่ายด้านอาหารเพิ่มขึ้น

ในด้านความยากจนและความเปราะบางทางเศรษฐกิจ พบว่าพื้นที่ชายแดนใต้มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดของประเทศถึงร้อยละ 10.94 ขณะที่แรงงานภาคเกษตรยังมีสัดส่วนยากจนสูงถึงร้อยละ 11.43 ประกอบกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านอาหารเพิ่มขึ้นนับหมื่นล้านบาทต่อปี และลดความหลากหลายด้านอาหารของครัวเรือน สถานการณ์เหล่านี้ยิ่งซ้ำเติมความเปราะบางทางโภชนาการของเด็กและครัวเรือนยากจน

เป้าหมายความมั่นคงทางอาหารของภาคีเครือข่ายภาคใต้ถูกนิยามว่า “การที่คนใต้เข้าถึงอาหารได้อย่างเพียงพอ ปลอดภัย สมวัย และเป็นธรรมด้านอาหาร” โดยมุ่งสร้างรายได้และผลิตอาหารเองมากขึ้น ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ การเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายอาหาร มิติทางสังคมที่เสริมเกษตรกรเข้าสู่ระบบเกษตรยั่งยืน มิติสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์และลดสารเคมี และมิติสุขภาพที่ส่งเสริมการบริโภคอาหารปลอดภัย ลดโรคเรื้อรังและทุพโภชนาการ

ข้อเสนอเชิงนโยบายจึงเน้นพัฒนาระบบ “ชุมชนสีเขียว” ที่มีการพึ่งตนเองด้านอาหาร ใช้ภูมิปัญญาและเศรษฐกิจพอเพียงควบคู่กับการฟื้นฟูทรัพยากร โดยมีตัวอย่างความสำเร็จ เช่น ชุมชนประมงสีเขียวบ้านช่องฟืน จังหวัดพัทลุง ที่สามารถฟื้นฟูทะเลสาบจนสัตว์น้ำกลับมาเพิ่มขึ้นและชุมชนมีรายได้สูงขึ้น รวมถึงชุมชนลุ่มน้ำจารังตาดง จังหวัดยะลา ที่สร้างระบบอาหารปลอดภัยครบถ้วนและจัดการภัยพิบัติร่วมกันอย่างเข้มแข็ง อนาคตของความมั่นคงทางอาหารในภาคใต้ยังเผชิญความท้าทาย ทั้งจากเกษตรเชิงเดี่ยวที่ครอบคลุมกว่า 70% ของพื้นที่ เกษตรกรสูงวัย ต้นทุนการผลิตที่สูง การรับรองมาตรฐานยังจำกัด และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและโรคระบาดในพืชและสัตว์ อย่างไรก็ตาม ศักยภาพด้านนโยบาย การสนับสนุนจากสถาบันวิชาการ กลไกเครือข่ายที่เข้มแข็ง และคณะกรรมการอาหารจังหวัด ถือเป็นโอกาสในการยกระดับเกษตรกรรมยั่งยืนในสวนยาง การเพิ่มช่องทางตลาดและการกระจายสินค้า การพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ และการยกระดับการพัฒนาความรอบรู้ด้านอาหาร Food Literacy ให้แก่ประชาชน เพื่อให้คนใต้ก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือ “มีความมั่นคงทางอาหาร” อย่างยั่งยืนครบทุกด้าน

2.ความมั่นคงทางมนุษย์ 

สานพลัง 5D สู่วิถีความสุขของคนใต้ ที่นำเสนอในงานสร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 14 ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายด้านความมั่นคงทางมนุษย์ของภาคใต้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ พร้อมเสนอกรอบ 5Ds  ได้แก่ เเรียนดี เลี้ยงดี รายได้ดี บ้านมั่นคง และสังคมปลอดภัย เป็นทิศทางหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างรอบด้านและยั่งยืน

ข้อเสนอเชิงนโยบายมุ่งเน้นการจัดตั้งระบบข้อมูลกลางสำหรับกลุ่มเปราะบาง การสร้างกลไกระดับอำเภอเพื่อขับเคลื่อน 5Ds Model และการเชื่อมโยงที่อยู่อาศัยกับโอกาสทางการศึกษา ผ่าน “กองทุนที่อยู่อาศัยเพื่อการศึกษา” และกำหนดตัวชี้วัด “Home-Based Learning Quality Index” เพื่อวัดคุณภาพการศึกษาที่เชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ซึ่งจะทำให้ทุกครอบครัว โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ มีรากฐานชีวิตที่มั่นคงและสามารถพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่ นำไปสู่สังคมภาคใต้ที่ปลอดภัยและมีความสุขอย่างแท้จริง

3.ความมั่นคงทางสุขภาพ

ประเด็นความมั่นคงทางสุขภาพได้สะท้อนให้เห็นสถานการณ์ด้านสุขภาวะของภาคใต้ที่ยังเผชิญโจทย์ท้าทายจาก 3 ประเด็นหลัก คือ การสูบบุหรี่ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และปัญหาสุขภาพจิต โดยข้อมูลระบุว่าภาคใต้มีผู้สูบบุหรี่สูงสุดของประเทศกว่า 1.7 ล้านคน และพบการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งถึง 76% ของการเสียชีวิตทั้งหมด และจำนวนผู้ป่วยยังเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัญหาสุขภาพจิตมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนอายุ 18–24 ปี ที่มีความเสี่ยงสูงต่อความเครียด ซึมเศร้า และการฆ่าตัวตาย

ความสำเร็จจากพื้นที่ต้นแบบ เช่น เครือข่ายเยาวชนสื่อสารรู้เท่าทันภัยบุหรี่ในสงขลา ปัตตานี และภูเก็ต โมเดล “NCDs หายได้” ที่บ้านเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี และระบบ “3 หมอ” ประกอบด้วย 1. อสม 2. หมอสาธารณสุขจาก รพ.สต 3. แพทย์เวชปฏิบัติครอบครัว ในการดูแลสุขภาพเชิงรุกแบบ “ดูแล ใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” ที่พัทลุง ซึ่งช่วยลดการใช้ยาในผู้ป่วยเรื้อรัง รวมถึงโครงการเสริมสุขภาพจิตในชุมชนและโรงเรียนที่นครศรีธรรมราชและสงขลา กรณีเหล่านี้ชี้ให้เห็นพลังของการทำงานเชิงรุกและการมีส่วนร่วมของชุมชนที่สามารถต่อยอดเป็นนโยบายระดับพื้นที่และระดับประเทศได้

ข้อเสนอเชิงนโยบายมุ่งเน้นการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้ประชาชน การบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวด การพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพกลางที่เข้าถึงได้ในทุกระดับ และการสนับสนุนชุมชนด้วยเครื่องมือด้านสุขภาพ เช่น กระเป๋าสุขภาพและเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ยังเสนอให้ อบจ. และหน่วยงานท้องถิ่นร่วมกับภาคีเครือข่ายทำงานเชิงบูรณาการ ทั้งด้านการป้องกัน คัดกรอง การฟื้นฟู และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะ เป้าหมายสูงสุดคือให้คนใต้ มีสุขภาพดีเต็มตามศักยภาพ เข้าถึงระบบสุขภาพมาตรฐาน และมีชุมชนเข้มแข็งเป็นฐานในการจัดการปัญหาสุขภาพอย่างยั่งยืน

4.ความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ภาคใต้กำลังเผชิญความท้าทายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนา เศรษฐกิจที่พึ่งพาทรัพยากรมากกว่า 90% รวมถึงปัญหาขยะ น้ำเสีย การกัดเซาะชายฝั่ง และภัยพิบัติรุนแรง แนวทางการจัดการจึงต้องใช้ “สิทธิชุมชน” เป็นฐาน ร่วมกับการจัดการเชิงนิเวศ (Ecosystem-based Management) ที่เชื่อมโยงทรัพยากรจากภูเขาสู่ทะเล

ข้อเชิงนโยบายด้านความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจากภาคีเครือข่าย มีข้อสรุปคือ  มุ่งกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรสู่ท้องถิ่นและชุมชน โดยยึดพื้นที่และระบบนิเวศเป็นฐาน พร้อมผลักดันการปรับกฎหมายเพื่อรองรับสิทธิชุมชน จัดตั้งกลไกกลางและฐานข้อมูลทรัพยากรแบบมีส่วนร่วม รวมถึงการใช้กลไก Citizen Science ให้ประชาชนร่วมติดตามคุณภาพป่าไม้ แหล่งน้ำ และทรัพยากรทางทะเล เพื่อให้เกิดการจัดการที่ยั่งยืน

ข้อเสนอครอบคลุมตั้งแต่การปลดล็อกระบบป่าชุมชน การฟื้นฟูป่าและป่าชายเลน การเร่งรัดจัดตั้งเขตอนุรักษ์ทางทะเลโดยชุมชน ไปจนถึงการพัฒนากองทุนท้องถิ่นเพื่อการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเสนอให้มีการบูรณาการข้อมูลโลกร้อนในแผนพัฒนาท้องถิ่น และสร้างศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการตัดสินใจร่วม นอกจากนี้ยังชี้ให้สภาพัฒน์ใช้เครื่องมือการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) เป็นกรอบวางแผนการจัดการทรัพยากรภาคใต้ สะท้อนความพยายามสร้างความมั่นคงทางทรัพยากรผ่านความร่วมมือหลายภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง

ทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายสู่ “ภาคใต้แห่งความสุข”

ขณะที่  การอภิปรายและร่วมกําหนดทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายสู่ “ภาคใต้แห่งความสุข” โดยมีผู้แทนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.), สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 12 (สปสช.), กระทรวงสาธารณสุข เขต 12, ภาคีสุขภาพ, ผู้นำศาสนา และตัวแทนชุมชนท้องถิ่น ข้อสรุปจากผู้เข้าร่วมอภิปราย มองว่าเป็น “จุดเปลี่ยน” จากการทำงานแบบแยกส่วน ไปสู่การสร้างระบบสุขภาวะที่ขับเคลื่อนด้วยเครือข่ายร่วม โดยสาระสำคัญที่ถูกย้ำคือ การจัดการร่วม ซึ่งทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างทำ หรือยึดติดกับการเป็นเจ้าของงาน การมองเชิงระบบนี้ สสส. ได้ขยายความถึงระบบนิเวศ (Health Ecosystem) ที่เชื่อมโยง 4 ระดับตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การจัดการเชิงโลจิสติกส์ การปฏิบัติการในพื้นที่ที่คนใต้เป็นเจ้าของปัญหาเอง ไปจนถึงระบบการสนับสนุนที่ต้องมี Road Map ร่วม เพื่อให้การหนุนเสริมเป็นไปอย่างมีทิศทางและไม่ซ้ำซ้อน

ภาคใต้ยังถูกยกให้เป็นพื้นที่ต้นแบบของประเทศด้านการใช้เครื่องมือและนวัตกรรมสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) หรือการใช้ธรรมนูญสุขภาพตำบลที่สร้างข้อตกลงร่วมในชุมชน ตอกย้ำว่าภาคใต้ไม่ได้เพียงสร้างกิจกรรม แต่ยังผลิต “นวัตกรรมเชิงสถาบัน” ที่ขยายผลได้ในระดับชาติ ขณะเดียวกัน สปสช. เขต 12 ได้ชี้ให้เห็นบทบาทของ “กลไกทางการเงิน” โดยเฉพาะกองทุนสุขภาพท้องถิ่นใน อบต. และเทศบาลกว่า 600 แห่ง ที่กลายเป็นฐานสำคัญในการเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ การรักษาพยาบาล และการสร้างความเข้มแข็งให้ระบบปฐมภูมิ

กระทรวงสาธารณสุขได้วางกรอบความคิดที่กว้างขึ้นด้วย “ศาสตร์พระราชา” และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อออกแบบสังคมสุขภาวะที่สมดุลทั้งเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยชี้ว่าองค์ความรู้ต้องเดินคู่กับคุณธรรม การสร้างสุขภาพที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่เรื่องบริการทางการแพทย์เท่านั้น แต่คือการยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติ

สิ่งสำคัญคือข้อเสนอจากเวทีสร้างสุขภาคใต้เริ่มก้าวข้ามสู่ระดับชาติ ทั้งประเด็นสังคมสูงวัยและการท่องเที่ยวเชิงสิ่งแวดล้อมที่ถูกบรรจุเข้าสู่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติและนโยบายของรัฐ บทบาทของภาคใต้ในครั้งนี้จึงไม่ต่างจากห้องทดลองเชิงนโยบาย (Policy Lab) ที่สามารถสร้างต้นแบบและขยายผลสู่การกำหนดทิศทางประเทศ

อย่างไรก็ตาม การที่จะทำอย่างไรให้ต้นแบบเหล่านี้ขยายผลอย่างยั่งยืนนั้นจะต้องมี Road Map ร่วมที่ชัดเจน สามารถอธิบายได้ว่าอะไรคือข้อเสนอระดับชาติ และอะไรคือปฏิบัติการในพื้นที่ พร้อมจัดโครงสร้างการสนับสนุนที่มีเสถียรภาพ

ข้อสรุปจากเวทีกําหนดทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายสู่ “ภาคใต้แห่งความสุข” ได้ยืนยันว่าภาคใต้ต้องเดินหน้าด้วยการจัดการร่วม การเชื่อมโยงเชิงระบบ และการผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับองค์ความรู้สมัยใหม่ เพื่อเปลี่ยนพลังเล็กๆ ในชุมชนให้กลายเป็นพลังโครงสร้าง ขับเคลื่อนสุขภาวะของทั้งภาคใต้และประเทศได้จริงอย่างยั่งยืน

 

Shares:
QR Code :
QR Code