“การฟัง” เครื่องมือพื้นฐานเยียวยาแผลใจ-สะพานแห่งความเข้าใจ ในมุมมองคุณวันชัย บุญประชา

“การฟัง” เครื่องมือพื้นฐานเยียวยาแผลใจ-สะพานแห่งความเข้าใจ ในมุมมองคุณวันชัย บุญประชา
ในเดือนแห่งการฟังแห่งชาติ ที่ สสส. ร่วมกับธนาคารจิตอาสาและภาคีเครือข่ายสุขภาวะทางปัญญา จัดแคมเปญ “ทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการฟัง” ตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน พร้อมสร้างทักษะการฟังให้ประชาชนผ่านการเรียนรู้แบบ e-Learning และชวน “สร้างพื้นที่รับฟังด้วยหัวใจ” เพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม
น้องบัดดี้ถือโอกาสนี้ได้พูดคุยกับ คุณวันชัย บุญประชา ที่ปรึกษากลุ่มคนตัว D บริษัท ทำมาปัน จำกัด ที่ขับเคลื่อนกิจการด้านส่งเสริมพัฒนาเด็ก เยาวชน ครอบครัวและสังคม รวมถึงสร้าง “นิเวศสื่อที่เหมาะสมและปลอดภัย” ให้กับผู้สูงอายุ ผ่านมุมมองและประสบการณ์ทำงานด้านการสร้างเสริมสุขภาวะมาอย่างยาวนาน
การฟัง ไม่ใช่แค่ “ได้ยิน” แต่คือการ “เข้าใจ”
คุณวันชัย ให้มุมมองด้าน “การฟัง” ที่นำมาเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนงานสร้างเสริมสุขภาวะว่า การฟังไม่ใช่แค่การรับรู้เพียงอย่างเดียว หากแต่คือประตูบานแรกสู่ความเข้าใจ คือเครื่องมือที่สร้างคุณค่าให้กับทั้งผู้พูดและผู้ฟัง และคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
“การฟังที่แท้จริงนั้นเป็นกระบวนการที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อน ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้การรับสารนั้นสมบูรณ์ กระบวนการของการฟังที่แท้จริงแบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอนสำคัญ คือ 1. การรับรู้ นับเป็นด่านแรกของการเปิดประสาทสัมผัสเพื่อรับเสียง เข้ามาด้วยความตั้งใจและมีสมาธิจดจ่อ หากเราลองหลับตาลง จะพบว่าจินตนาการของเราทำงานได้ดีขึ้นจากการฟังเพียงอย่างเดียว นี่คือการรับรู้ที่ไม่ใช่แค่การปล่อยให้เสียงผ่านหูไป 2. การรู้ เมื่อรับเสียงเข้ามาแล้ว ให้เราทำความรู้จักกับสารนั้นให้ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งรวมถึงการรับรู้ เนื้อหา ความตั้งใจ ความรู้สึกและเจตนา ที่แท้จริงของผู้พูด และ 3. การเข้าใจ ขั้นสุดท้าย สำคัญที่สุด คือการนำสิ่งที่ได้รับรู้และได้รู้มาประมวลผลจนเกิดเป็นความเข้าใจ ทั้งในตัวบุคคลและเนื้อหาที่เขาสื่อสาร ซึ่งความเข้าใจนี้เองที่เป็นพื้นฐานในการตอบสนองต่อเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมและมีปัญญา”
คุณวันชัย ชี้ให้หัวใจสำคัญของการเป็นผู้ฟังที่ดี ประกอบไปด้วย 1.ความตั้งใจ การมีเจตนาที่จะรับฟังอย่างแท้จริง ไม่ใช่การฟังแบบปล่อยผ่าน 2.สมาธิ การจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ได้ยิน ไม่วอกแวกหรือคิดเรื่องอื่นแทรก 3.การสังเกต การรับรู้มากกว่าแค่คำพูด แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ เช่น น้ำเสียง และ ภาษากาย ของผู้ส่งสาร ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจสารได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น
คุณค่าที่เกิดขึ้นกับ “ทั้งสองฝ่าย”
คุณวันชัยมองว่า การฟังอย่างตั้งใจเปรียบเสมือนการมอบของขวัญล้ำค่าที่ส่งผลดีต่อทั้งผู้พูดและผู้ฟัง โดยเป็นการสร้างคุณค่าร่วมกัน
“สำหรับผู้พูด การที่มีใครสักคนหยุดและตั้งใจฟังเรื่องราวของพวกเขาอย่างแท้จริง ทำให้พวกเขารู้สึกว่า “ตัวเองมีคุณค่า” และสิ่งที่กำลังสื่อสารออกไปนั้นมีความหมาย ไม่ใช่แค่เสียงที่เลื่อนลอยหายไปในอากาศ การรับฟังคือการยอมรับในตัวตนของพวกเขา ในขณะเดียวกัน
สำหรับผู้ฟัง เมื่อสามารถรับรู้ ตีความ และเข้าใจสารที่ถูกส่งมาได้ พวกเขาก็จะรู้สึกว่า “ตัวเองก็มีคุณค่าเช่นกัน” มีปัญญาและฉลาดขึ้น ความรู้สึกนี้ไม่เพียงแต่สร้างความภาคภูมิใจ แต่ยังก่อเกิดเป็น “จิตตปัญญา” ที่เป็นรากฐานสำคัญของความสามารถในการพัฒนาตนเองต่อไปได้ และเมื่อเราเข้าใจถึงคุณค่าพื้นฐานนี้แล้ว เราก็พร้อมที่จะนำทักษะการฟังไปใช้ในบริบทที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น”
โลกของคนตัวเล็กๆ ที่ยังรอการรับฟัง
จากประสบการณ์ทำงานด้านสื่อเกี่ยวกับเด็กและครอบครัว และให้ความสำคัญกับประเด็นผู้สูงอายุ ปัจจุบันคุณวันชัย ขับเคลื่อนโครงการสูงวัยรู้ทันสื่อ ด้วยการสนับสนุนของสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา (สำนัก 11) สสส. บอกเล่าถึง การฟังเสียงจากคนต่างวัย โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจในบริบทและข้อจำกัดที่แตกต่างกันอย่างมาก คุณวันชัยได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น กล่าวคือ
สำหรับเด็ก สิ่งที่พวกเขาส่งสาร ส่วนใหญ่คือความรู้สึกและความต้องการพื้นฐาน เช่น หิว ไม่สบายตัว หรือต้องการความสนใจ สิ่งที่ผู้ฟังต้องเข้าใจ คือ พัฒนาการและข้อจำกัดในการสื่อสารในแต่ละช่วงวัยของเด็ก ซึ่งแตกต่างกันอย่างมาก เราฟังเด็กๆ เพื่อตอบสนองความต้องการทางกายและใจของเด็ก และทำความเข้าใจพัฒนาการของเขาอย่างถูกต้อง
ขณะที่ผู้สูงวัย สารที่ส่งมาคือประสบการณ์ชีวิตที่อยากถ่ายทอดด้วยเจตนาดี เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ผู้ฟังต้องเข้าใจ คือ บริบทของประสบการณ์ และการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ความคิดในแต่ละช่วงวัยของท่าน เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยตระหนักว่าเจตนาที่ดี ไม่ได้หมายความว่าถูกต้องเสมอไป จึงต้องใช้วิจารณญาณ และตอบสนองต่อความต้องการของท่านอย่างถูกต้องตามข้อจำกัด
อย่าละเลยเสียงของ “คนตัวเล็กๆ” ในสังคม
สิ่งที่น่าเศร้าที่อยู่บนพื้นฐานความจริง นั่นคือ “โดยธรรมชาติของมนุษย์ มักฟังคนที่มีอำนาจมากกว่า” ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางสังคม คุณวุฒิ หรือวัยวุฒิ เรามักจะให้ความสนใจกับเสียงของคนเหล่านี้ จนเผลอละเลยและปิดกั้นเสียงของ “คนตัวเล็กๆ” ไปโดยไม่รู้ตัว
คุณวันชัย บอกว่า “คนตัวเล็กๆ” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่เด็กหรือผู้สูงอายุ แต่ยังรวมถึง คนด้อยโอกาส คนไร้บ้าน หรือแม้กระทั่งแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในสังคม แต่เสียงของพวกเขามักเป็นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน เพราะเรา “ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง”
“ทางออกของปัญหานี้เรียบง่าย คือการที่สังคมต้อง “เปิดพื้นที่” และ “เปิดใจ” ที่จะรับฟังเสียงเหล่านี้อย่างจริงจัง โดยเริ่มต้นจากการฟังก่อน การฟัง ไม่ใช่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ…แต่ต้องฟังก่อน เพื่อให้เรารู้ว่าเจตนาเขาคืออะไร ความต้องการเขาคืออะไร”
คนรุ่นใหม่กับโลกที่แสนวุ่นวาย จะฝึกทักษะการฟังได้อย่างไร
สำหรับคนรุ่นใหม่ จะเริ่มต้นฝึกฝนทักษะการฟังในโลกที่เสียงดังและวุ่นวายเช่นนี้ได้อย่างไร? คุณวันชัย แนะนำแนวทางเพื่อเริ่มต้นการเดินทางสู่การเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้น คือ
- เริ่มต้นจากตัวเอง ท่ามกลางโลกที่เสียงดัง ลองให้เวลากับความเงียบและเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ “ฟัง” เสียงที่เรียบง่ายรอบตัว เช่น เสียงลม เสียงนก หรือเสียงใบไม้ไหว เพื่อค้นพบ “ความสุขและความสงบจากการฟัง” ด้วยตัวเองก่อน เมื่อเรามีประสบการณ์ที่ดีกับการฟัง เราจะอยากนำทักษะการฟังนี้ไปใช้กับคนอื่น
 - ขยายสู่คนใกล้ชิด นำประสบการณ์นั้นมาลองใช้กับการฟังคนในครอบครัว เช่น พ่อแม่ แทนที่จะฟังแค่คำบ่นผิวเผิน ลองพยายามทำความเข้าใจ “เจตนา” ที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดของท่าน
 - ฝึกฝนการฟังอย่างมีสติ เมื่อฟังแล้ว อย่าเพิ่งใช้อารมณ์ของตัวเองเข้าไปตัดสินสารที่ได้รับในทันที แต่ให้ใช้สติพิจารณา ตีความเจตนาและความตั้งใจของผู้พูดก่อน แล้วจึงเลือกตอบสนองกลับไปอย่างมีปัญญา ซึ่งจะทำให้เราเป็นคนที่ฉลาดและเข้าใจโลกมากขึ้น
 
“การฝึกฝนเหล่านี้จะช่วยเตรียมความพร้อมให้เราสามารถเป็นได้ทั้งผู้พูดที่กล้าหาญและผู้ฟังที่เปี่ยมด้วยความเข้าใจ”
ถึงผู้ที่อยากจะพูด และผู้ที่ควรจะฟัง
คุณวันชัย ได้ฝากข้อความที่ทรงพลังไปถึงคนสองกลุ่ม ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะสร้างสังคมแห่งการรับฟังให้เกิดขึ้นจริง
ผู้ฟัง อย่าด้อยค่าทุกเสียงที่เปล่งออกมา ในฐานะผู้ฟัง เราต้องเปิดใจและตั้งใจฟังอย่างแท้จริง แม้ว่าเสียงนั้นจะ “แผ่วเบา” “สั่นเครือ” หรือเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจก็ตาม อย่าด่วนตัดสินหรือด้อยค่าเสียงเหล่านั้น เพราะทุกเสียงที่เปล่งออกมาล้วนมีความหมายและมีความสำคัญในตัวเอง
ผู้พูด จงกล้าที่จะส่งเสียงของคุณ สำหรับคนที่ยังไม่กล้าพูด เพราะกลัวการตัดสินของคนอื่น และแคร์สายตาคนอื่นให้น้อยลง กล้าที่จะพูดในสิ่งที่สะท้อนตัวตนของเราออกมาด้วยเจตนาที่ดี อย่ากลัวว่าพูดไปแล้วจะดูไม่ดี หรือจะไม่มีใครฟัง เพราะ “โลกนี้มันใหญ่โตเกินไปที่คนจะมานั่งจับผิดในคำพูดของเราตลอดเวลา”
เมื่อผู้พูดกล้าที่จะส่งเสียง และผู้ฟังพร้อมที่จะเปิดใจรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ วงจรของการสื่อสารที่สมบูรณ์จึงจะเกิดขึ้น และนำเราไปสู่สังคมที่ทุกคนปรารถนา
ในเดือนแห่งการฟังแห่งชาติ 2568 สสส.สนับสนุนให้ทุกองค์กร ร่วมสร้างพื้นที่การรับฟังเชื่อมความสัมพันธ์คนในสังคม พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้เกิดสังคมสุขภาวะที่เกื้อกูลกัน ตลอดทั้งเดือน พ.ย. จะมีกิจกรรมสร้างทักษะการรับฟัง ให้พร้อมรับมือกับความรู้สึกเหงา เข้าถึงความสุขที่เกิดจากการเชื่อมโยงกับตนเอง โลก และธรรมชาติ
โดยกิจกรรมมี 2 รูปแบบ 1. กิจกรรมสร้างทักษะและการรับฟัง สำหรับประชาชนทั่วไป โดยเข้าไปที่เว็บไซต์เดือนการฟังแห่งชาติ https://Listen.HappinessisThailand.com เริ่มทำแบบทดสอบเพื่อสังเกตพฤติกรรมการรับฟังของตัวเอง และยังมีเนื้อหารูปแบบ e-Learning, เกมฝึกฟัง “Listenian Game” และ “e-book ฟังสร้างสุข” สำหรับเพิ่มทักษะการฟังและการฝึกฟังในรูปแบบการมีส่วนร่วมผ่านประสบการณ์จริง 2. กิจกรรมสร้างพื้นที่รับฟังของแต่ละองค์กร โดยพัฒนานวัตกรรมการ์ดฟังสร้างสุข (Listenian Card) เป็นเครื่องมือเพิ่มทักษะการฟังเบื้องต้น การรู้เท่าทันความคิด ไปจนถึงการใส่ใจความรู้สึก
การฟัง คือ เครื่องมือพื้นฐานที่สุดในการเยียวยาบาดแผลทางใจ สร้างสะพานแห่งความเข้าใจ และขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความเข้าอกเข้าใจและความเท่าเทียมกันมากขึ้น สามารถติดตามรายละเอียดและกิจกรรมเดือนแห่งการฟังแห่งชาติได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ความสุขประเทศไทย’
