สสส. จับมือภาคีภาคใต้บูรณาการขับเคลื่อนลดการบริโภคยาสูบ มุ่งลดภัยบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนภาคใต้ ผ่านเวที “โชว์ แชร์ เชื่อม”
สสส. จับมือภาคีภาคใต้บูรณาการขับเคลื่อนลดการบริโภคยาสูบ มุ่งลดภัยบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนภาคใต้ ผ่านเวที “โชว์ แชร์ เชื่อม”
สสส.จัดเวทีโชว์ แชร์ เชื่อม : “ความร่วมมือภาคีเครือข่ายเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนงานยาสูบ” 28 – 29 มิถุนายน พ.ศ.2568 ณ สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยง สำนักพัฒนาภาคีสัมพันธ์และวิเทศสัมพันธ์ (สภส.) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเชื่อมร้อยภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพพื้นที่ภาคใต้ บูรณาการความร่วมมือเพื่อลดการบริโภคยาสูบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งมีแนวโน้มการบริโภคที่สูงขึ้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรัณญา เบญจกุล มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าถึงสถานการณ์การบริโภคยาสูบในประเทศไทยและภาคใต้ อัตราการสูบบุหรี่ภาพรวมของประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างช้าๆ จาก 12.2 ล้านคน เหลือ 9.8 ล้านคน ใน ปี 2567 ในจำนวนประชากร 15 ปีขึ้นไปประมาณ 58-59 ล้านคน ขณะที่ภาคใต้ มีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดในประเทศ ร้อยละ 22.1 ของประชากร 100 คน และเป็นอันดับ 1 มาตลอดตั้งแต่ปี 2534 โดยเฉพาะจังหวัดกระบี่มีอัตราการสูบสูงที่สุดในปี 2564 และ 2567 แต่ก็มีอัตราการเปลี่ยนแปลงลดลง ร้อยละ 2.6 ต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการควบคุมอัตราการสูบบุหรี่
ในปี 2567 มีนักสูบหน้าใหม่จำนวน 134,320 คน โดยมีอายุเฉลี่ยเมื่อเริ่มต้นสูบบุหรี่ครั้งแรกอยู่ที่ 18 ปี และอายุต่ำสุดเพียง 7 ปี ที่น่ากังวลคือ 57.9% ของนักสูบหน้าใหม่มีอายุ 19 ปี และ 28.4% ของนักสูบหน้าใหม่ปัจจุบันใช้บุหรี่ไฟฟ้า แม้ว่าภาคใต้จะมีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ แต่ยังน่าเป็นห่วงในกลุ่มเด็ก เยาวชน ที่สามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่าย รวมถึงความเข้าใจผิดว่าปลอดภัยกว่าบุหรี่มวนปกติ รูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูด อิทธิพลจากเพื่อนและวัฒนธรรม รวมถึงประชาชนยังขาดความรู้เท่าทันกลยุทธ์ธุรกิจยาสูบ
ดร. ประกาศิต กายะสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส และรักษาการผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาภาคีสัมพันธ์และวิเทศสัมพันธ์ (สภส.) กล่าวว่า “เวทีโชว์ แชร์ เชื่อม ครั้งนี้ เพื่อบูรณาการการป้องกันและแก้ปัญหาบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนของ14 จังหวัดภาคใต้ โดยสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยง (สำนัก 1) จะหนุนเสริมปฏิบัติการของภาคีผ่านชุดความรู้ งานวิชาการ และเครื่องมือในการทำงาน ส่วนสำนักพัฒนาภาคีสัมพันธ์และวิเทศสัมพันธ์ (สภส.) มีหน้าที่สนับสนุนระบบและกลไกการทำงาน เพื่อเชื่อมร้อยภาคีเครือข่ายจากทุกภาคส่วน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบปฏิบัติการและตั้งเป้าหมายการทำงานร่วมกัน
โดยเวทีในวันนี้ได้มีการนำเสนอข้อมูลสถานการณ์การสูบบุหรี่ ชุดความรู้และเครื่องมือที่มี รวมถึงกลไกการสนับสนุนของ สสส. และทุนเดิมของภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อกำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์การเคลื่อนงานร่วมกัน โดยคาดหวังว่าภาคีเครือข่ายจะมีส่วนร่วมในการจัดทำยุทธศาสตร์ เพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ตรงความต้องการของพื้นที่ เชื่อมประสานการทำงานร่วมกันจนเกิดเป็นความผูกพัน สานเสริมพลัง และขยายงานออกไปสู่ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป”
ด้าน ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวถึงการบูรณาการความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานยาสูบของสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยง (สำนัก 1) และสำนักพัฒนาภาคีสัมพันธ์และวิเทศสัมพันธ์ (สภส.) ว่า
“สำนัก 1 มีองค์ความรู้ด้านบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า แต่ไม่มีแพลตฟอร์มการทำงานในพื้นที่ ในขณะที่ทางสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (สนส. ม.อ.) ซึ่งเป็นกลไกระดับภาค ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สภส. มีแพลตฟอร์มและเชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนใน 14 จังหวัดภาคใต้ เป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมร้อยภาคีและขับเคลื่อนงานในพื้นที่ รวมถึงการสนับสนุนงานวิชาการ การติดตามสนับสนุนประเมินผลอย่างเป็นรูปธรรม และการกำหนดแผนในระยะต่อไป ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันของทั้งสองสำนัก ร่วมกับกลไกภาค โดยที่สถาบันนโยบายสาธารณะจะเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงภาคีต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม ซึ่งจะเป็นต้นแบบการทำงานในระดับภาค หรือเรียกว่า ภาคประชาสังคมเชิงวิชาการ เพื่อเสริมการทำงานของภาครัฐ และอาจขยายผลไปยังภาคอื่นๆ ได้ในอนาคต”
ผศ.ดร.ลักขณา ยังกล่าวถึงเป้าหมายยุทธศาสตร์ระดับชาติ แผนควบคุมยาสูบแห่งชาติ โดยในปี 2570 แผนควบคุมยาสูบแห่งชาติ มีเป้าหมายลดอัตราการสูบบุหรี่อายุ 15 ปีขึ้นไป เหลือไม่เกินร้อยละ 14 ปัจจุบัน 17.4% ลดอัตราการได้รับควันบุหรี่มือสองในที่พักอาศัยลงร้อยละ 30 จากปี 2560 ลดการฝ่าฝืนกฎหมายลงร้อยละ 50
ขณะที่มาตรการและกลยุทธ์ในการควบคุมและป้องกันการบริโภคบุหรี่ในทุกระดับ องค์การอนามัยโลกมีกรอบยุทธศาสตร์ที่ใช้ในการควบคุมยาสูบ (WHO Framework) ประกอบด้วย M (Monitor): ติดตามกำกับบริโภคยาสูบ เช่น อัตราการสูบในแต่ละปี P (Protect): ปกป้องประชาชนจากควันบุหรี่มือสอง และปกป้องเยาวชนจากการสูบ O (Offer help): ให้ความช่วยเหลือสำหรับคนต้องการเลิกบุหรี่ W (Warn): เตือนภัยและสร้างความรู้ความเข้าใจ (Health Literacy) ให้เท่าทันธุรกิจยาสูบ E (Enforce): บังคับใช้กฎหมาย เช่น ห้ามขาย ห้ามโฆษณา R (Raise taxes): ขึ้นภาษีบุหรี่ ซึ่งหน่วยงาน/องค์กร ภาคีในภาคใต้สามารถนำมาใช้ในการร่วมกันวิเคราะห์และออกแบบแผนยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย แผนงาน โดยมีการกำหนดตัวชี้วัดและกลไกการขับเคลื่อนที่ชัดเจน ซึ่งสามารถอ้างอิงกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ระดับชาติ แผนควบคุมยาสูบแห่งชาติ การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายสาธารณะสำหรับ “ภาคใต้สร้างสุข” เพื่อขับเคลื่อนงานยาสูบอย่างเป็นระบบต่อไป
ดร.เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (สนส.ม.อ.) กล่าวสรุปเรื่องการวางระบบและกลไกการหนุนเสริมความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนงานยาสูบภาคใต้ร่วมกันว่า เครื่องมือสำคัญในการผลักดันการขับเคลื่อนงานยาสูบ ไม่ใช่แค่การออกกฎหมายหรือประกาศนโยบาย แต่เป็นการเสริมสร้าง “ความรอบรู้และสมรรถนะ” ให้กับทุกภาคส่วน ตั้งแต่เยาวชน พ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู ฯลฯ เพื่อให้เกิดการรับรู้ที่ถูกต้องและสามารถคัดกรองกลุ่มเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ
นอกจากบทบาทของภาคการศึกษาแล้ว ความร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เขต 11–12 และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 11–12 ถูกชูขึ้นเป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก เพราะสามารถเชื่อมโยงไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและโรงพยาบาลอำเภอ อันเป็นจุดเริ่มต้นของคลินิกเลิกบุหรี่ นอกจากนี้ภาคี “สื่อมวลชน” ถึงแม้ในจังหวัดต่างๆ จะมีทีมสื่อจิตอยู่แล้ว แต่ควรเติมทีมหน้าใหม่ที่มีทักษะการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และเชื่อมโยงกับสื่อหลักอย่าง Thai PBS เพื่อให้เสียงสะท้อนจากพื้นที่ภาคใต้ดังขึ้นสู่เวทีระดับชาติ
ในด้านการวางแผนดำเนินงาน สนส.ม.อ. ได้นำเสนอกรอบแนวทางการจัดทำแผนทุกระดับ ตั้งแต่ตำบล อำเภอ จังหวัด ไปจนถึงระดับเขต เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างสอดคล้องและเชื่อมโยงกัน โดยระดับอำเภอ (พชอ.) สามารถประสานกับกองทุนท้องถิ่นได้ ส่วนระดับจังหวัดสามารถผนวกประเด็นบุหรี่เข้าไปในแผนงานสาธารณสุขที่มีอยู่เดิม ขณะที่การสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน ดร. เพ็ญได้ เน้นถึงการผลิตสื่อสร้างกระแส ประกอบกับกิจกรรมคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องในชุมชน ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลพื้นฐาน (baseline data) ชัดเจนขึ้น และเมื่อจับมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ก็จะสามารถติดตามประเมินผลการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้อย่างเป็นระบบ
ในฐานะที่ สนส.ม.อ. เป็น “กลไกวิชาการกลาง” เพื่อขับเคลื่อนงานควบคุมยาสูบสู่เป้าหมาย “ภาคใต้สร้างสุข” ด้วยกัน ผ่าน 4 กลไกหลัก ดังนี้
1. สถาบันนโยบายสาธารณะฯ ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างภาคีทั้งในภาควิชาการและภาคประชาสังคม กำหนด “เป้าหมายเชิงสุขภาพ” เกี่ยวกับความมั่นคงทางสุขภาพของคนในพื้นที่ภาคใต้ โดยจัดเวทีระดมความเห็นให้เครือข่ายทุกภาคส่วนรับรู้และร่วมกำหนดทิศทาง
2. กลไกขับเคลื่อนพื้นที่จะกระจายไปยังแต่ละจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน เพื่อลงมือปฏิบัติจริง โดยยึดกรอบเป้าหมายความมั่นคงทางสุขภาพเป็นแกนหลัก
3. กลไกวิชาการติดตาม ประเมินผล ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล สังเคราะห์บทเรียนจากผลลัพธ์ในแต่ละพื้นที่ และพัฒนาแนวทางการจัดการเชิงระบบและเชิงนโยบายต่อไป
4. กลไกสื่อสารสร้างกระแสและผลักดันนโยบาย นอกจากการใช้ข้อมูลเชิงวิชาการแล้ว ยังต้องอาศัยนักสื่อสารมืออาชีพ ผลิตเนื้อหา สร้างกระแสสังคม ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย
การประชุมครั้งนี้วางรากฐานที่สำคัญสำหรับการทำงานแบบบูรณาการในภาคใต้ โดยเน้นการสร้างกลไกความร่วมมือจากหลายภาคส่วน การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การสร้างการรับรู้เชิงนโยบาย และการใช้ข้อมูลเพื่อการขับเคลื่อนและประเมินผล เพื่อเป้าหมายสูงสุดในการลดการบริโภคยาสูบในกลุ่มเด็กและเยาวชนในภูมิภาคอย่างยั่งยืน