สรุปไฮไลต์ “INHPF Annual Meeting & Symposium 2025” สสส. โชว์นวัตกรรมไทยบนเวทีโลก
สวัสดีครับเพื่อนภาคี… น้องบัดดี้กลับมาพร้อมอัปเดตจากเวที “INHPF Annual Meeting & Symposium 2025” ที่จัดขึ้นเมื่อ วันที่ 1–3 กันยายน 2568 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดย Health Promotion Board (HPB) ภายใต้ธีม “Inspiring Healthier Living: Challenging Conventions with Bold Solutions” หรือ “สร้างแรงบันดาลใจให้ใช้ชีวิตสุขภาพดี: ท้าทายกรอบเดิม ๆ ด้วยทางออกที่กล้าหาญ”
งานนี้ถือเป็นการรวมเอาผู้นำงานสร้างเสริมสุขภาพจากเอเชียแปซิฟิก แอฟริกา และพันธมิตรระดับโลก อาทิ กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซีย, PROGGA จากบังกลาเทศ, ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพบรูไน, McCabe Centre for Law & Cancer ประเทศออสเตรเลีย และกรมอนามัยรัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย พร้อมการต้อนรับสมาชิกสมทบใหม่จากมาเลเซีย บรูไน บังกลาเทศ ออสเตรเลีย และรัฐซาราวัก ซึ่งสะท้อนว่า INHPF กำลังเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่เชื่อมโลกสุขภาพเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง
บทบาท “สสส.” บนเวทีนานาชาติ
ครั้งนี้ สสส. ในฐานะเลขานุการเครือข่าย INHPF ภายใต้การนำของ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ได้ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญในการเสริมศักยภาพประเทศสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การประสานความร่วมมือ หรือการผลักดันนโยบาย ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา เครือข่าย INHPF ได้พัฒนาเครื่องมือสื่อสารด้านสุขภาพ ทั้งบทความ อินโฟกราฟิก และเวทีแลกเปลี่ยนระดับผู้บริหาร อีกทั้งยังเป็นแกนกลางในการออกแถลงการณ์เครือข่าย เช่น แถลงการณ์ “วันงดสูบบุหรี่โลก” เมื่อ 30 พฤษภาคม 2025 และการเตรียมแถลงการณ์ร่วมเรื่องโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ที่จะเผยแพร่ในวันที่ 18 กันยายน 2025 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการจัดแนวทางการทำงานให้สอดคล้องกับวาระโลกอย่างชัดเจน
ไทยโชว์อะไรบนเวทีนี้บ้าง 🇹🇭
จุดเด่นของไทย ที่นำเสนอในเวทีนี้ นำโดย นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สสส. ได้นำเสนอผลงานที่สะท้อนพลังการทำงานเชิงระบบของ สสส. และภาคีเครือข่าย โดยเริ่มจาก
โครงการ Good Walk Score ซึ่งเป็นดัชนีการเดินในเมืองครั้งแรกของประเทศที่ผสานข้อมูล GIS กับเสียงสะท้อนของประชาชนเพื่อชี้จุดแข็งและจุดอ่อนของทางเท้า ความปลอดภัย และการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้คนเดินมากขึ้น ลดมลพิษ และใช้เป็นข้อมูลวางแผนเมืองร่วมกับชุมชนอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ยังมี ThaiHealth Resource Center ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มรวมความรู้และเครื่องมือสำหรับโรงเรียน ที่ทำงาน และชุมชน พร้อมโมดูลการเรียนรู้และการรู้เท่าทันดิจิทัลที่นำไปใช้จริงได้ ทั้งในการจัดการอุบัติเหตุ การเรียนการสอน และการยกระดับคุณภาพชีวิตคนทำงาน
อีกหนึ่งผลงานที่น่าสนใจคือ Co-Investment Model ที่เปิดโอกาสให้ อปท. ได้ร่วมลงทุนทั้งงบประมาณและองค์ความรู้ เพื่อออกแบบโครงการสุขภาพที่ตรงกับโจทย์ของชุมชน ผลที่เกิดขึ้นคือการสร้าง “ผู้นำสุขภาพ” ในชุมชนแล้วกว่า 6,580 คน และการขับเคลื่อนโครงการกว่า 697 โครงการที่ช่วยให้ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ประเด็นประเด็นสำคัญที่ถูกเน้นย้ำจากวงเสวนา
มีการหยิบยกปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังเป็นภัยสาธารณสุขใหม่และมีเยาวชนเป็นกลุ่มเสี่ยงหลัก ซึ่งจำเป็นต้องจัดการอย่างองค์รวม ทั้งการออกกฎหมายเข้มงวด การสร้างความรู้เท่าทัน บริการเลิก การวิจัย และการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศ สิงคโปร์ถูกยกเป็นตัวอย่างที่เข้มที่สุด เพราะออกกฎหมายห้ามนำเข้า จำหน่าย ครอบครอง และใช้บุหรี่ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2018 นอกจากนี้ยังมีการเน้นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะ เช่น เมืองที่เดินได้ ทางเท้าที่ปลอดภัย และพื้นที่สีเขียว รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อดูแลสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน และการใช้ Social Marketing เพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นเรื่องง่ายและทำได้จริง
เสียงจากประเทศสมาชิก
นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ รองประธานมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ได้ย้ำว่าภาษีสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นยาสูบ แอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล คือ มาตรการที่คุ้มค่าและสามารถลดปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อได้จริงหากบังคับใช้อย่างจริงจัง
ด้านสิงคโปร์ได้นำเสนอความสำเร็จของ National Steps Challenge ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 1 ล้านคน และช่วยลดความชุกของโรคอ้วนพร้อมหักมุมแนวโน้มโรคเบาหวาน โดยเฉพาะในผู้ชาย พร้อมทั้งนำเสนองานวิจัยที่ชี้ว่าอาหารท้องถิ่นหลายชนิดมีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงกว่าฟาสต์ฟู้ดตะวันตก แสดงให้เห็นว่าการทำความเข้าใจบริบทท้องถิ่นสำคัญกว่าการใช้มาตรฐานเดียวทั่วโลก
ส่วนไต้หวันได้นำเสนอโปรแกรมจัดการโรคอ้วนลงพุง ซึ่งมีผู้ใหญ่ได้รับผลกระทบกว่า 27.8% และมีผู้เข้าร่วมกว่า 400,000 คน โดย 90% รายงานว่าสุขภาพดีขึ้น ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จคือการทำงานข้ามกระทรวง การบูรณาการหลายภาคส่วน การจัดโปรแกรมตามช่วงวัย และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพดิจิทัล
Breakfast Roundtable อัปเดตบุหรี่ไฟฟ้า
มีข้อมูลจากปี 2024 ที่ระบุว่าเยาวชน 16.8% เคยใช้บุหรี่ไฟฟ้า และ 4.8% เป็นผู้ใช้ปัจจุบัน ขณะเดียวกันยังมีการตรวจพบสารอันตรายบางชนิดในผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพรุนแรง สิ่งนี้สะท้อนช่องว่างด้านกฎหมายและการบังคับใช้ที่ยังไม่ครอบคลุม และด้วยความที่ตลาดบุหรี่ไฟฟ้าพัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงมีข้อสรุปว่า ต้องใช้แนวทางแบบองค์รวม ทั้งการออกกฎหมายเข้มแข็ง การสร้างความตระหนักและแคมเปญให้ความรู้ การสนับสนุนบริการเลิกบุหรี่ไฟฟ้า การวิจัยเชิงประจักษ์ และความร่วมมือสากล โดยนานาประเทศต่างเลือกแนวทางที่ต่างกัน ตั้งแต่การห้ามเด็ดขาด เช่น สิงคโปร์ ไปจนถึงการควบคุมผ่านระบบเภสัชกรรมในออสเตรเลีย
สุขภาพจิตเด็กและเยาวชน
ประเด็นนี้ ได้รับการหยิบยกและพูดคุนกันอย่างจริงจัง โดยไทยได้ยกตัวอย่างการใช้แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เชื่อมกับสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ซึ่งให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีแพลตฟอร์มเฉพาะสำหรับเยาวชน ส่วนสิงคโปร์ก็ได้เล่าประสบการณ์จากแคมเปญ “It’s Okay to Reach Out” ที่ช่วยเพิ่มจำนวนเยาวชนที่กล้าขอความช่วยเหลือด้านจิตใจได้อย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ในเวทีระดับโลก สสส. ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำและผู้ขับเคลื่อนให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการนำสุขภาวะที่ดีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน ผ่าน 3 แนวทางหลักคือ 1.ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น 2.สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อขยายผลการทำงาน 3. เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เพื่อให้ชุมชนสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างยั่งยืน