“น่าน” โชว์ยุทธศาสตร์ ‘อยู่ดี กินดี และตายดี’ ในเวทีโชว์ แชร์ เชื่อม ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ ตอบโจทย์สังคมสูงวัยและความมั่นคงทางอาหารของภาคเหนือตอนบน

“น่าน” โชว์ยุทธศาสตร์ ‘อยู่ดี กินดี และตายดี’ ในเวทีโชว์ แชร์ เชื่อม ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ ตอบโจทย์สังคมสูงวัยและความมั่นคงทางอาหารของภาคเหนือตอนบน
สสส.สานพลังภาคีภาคเหนือตอนบนจัด “เวทีโชว์ แชร์ เชื่อม ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ” โดยโครงการพัฒนาระบบและกลไกสนับสนุนวิชาการขับเคลื่อนงานสุขภาวะภาคเหนือตอนบน ตอน สร้างเครือข่ายสูงวัยมีสุข & เยาวชนรุ่นใหม่ห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า จ.แพร่ และตอน อาหารปลอดภัย สูงวัยมีสุข จ.น่าน ระหว่างวันที่ 27-28 ตุลาคม พ.ศ. 2568
จากบทความก่อนหน้าที่ได้นำเสนอไป (“เวทีโชว์ แชร์ เชื่อม ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ” สานพลังภาคี สสส. ภาคเหนือตอนบน ขับเคลื่อน ‘สูงวัยมีสุข’ และ ‘ปลอดบุหรี่ไฟฟ้า’ ใน จ.แพร่”) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ (มรอ.) ในฐานะกลไกภาควิชาการ ของภาคเหนือตอนบน ได้นำทีมภาคีเครือข่ายลงพื้นที่ต่อเนื่องที่ จ.น่าน เพื่อขับเคลื่อนประเด็นอาหารปลอดภัย สูงวัยมีสุข คุณวีรยุทธ เทพนันท์ แกนนำเชิงประเด็นระบบรองรับสังคมสูงวัยระดับภูมิภาค ให้ข้อมูลว่า จังหวัดน่านได้ยกระดับ “ความมั่นคงทางอาหารสำหรับผู้สูงอายุ” ให้เป็นวาระสำคัญของจังหวัด โดยมีเป้าหมายชัดเจนที่จะผลักดันเชิงนโยบายและออกแบบการทำงานให้เข้าถึงกลุ่มประชากรเปราะบาง โดยเฉพาะผู้สูงวัย ด้วยการวาง 5 เป้าหมาย การดำเนินงานหลัก ได้แก่ การส่งเสริมโภชนาการสมดุล ที่เหมาะสมกับวัยและสุขภาวะ การจัดระบบสื่อสารองค์ความรู้ ที่เข้าถึงและเข้าใจง่าย การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และระบบอาหารชุมชนสำหรับขยายผล การสร้างสื่อสารต่อเนื่อง เพื่อให้ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมดีๆ เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงกิจกรรมระยะสั้น และการจัดหาอาหารเฉพาะกลุ่ม โดยออกแบบเมนูที่เหมาะสมสำหรับเด็กและผู้สูงอายุโดยตรง
ภาคเหนือเข้าสู่ ‘สังคมสูงวัยระดับสุดยอด’ เร็วกว่าที่คาด
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคเหนือที่กำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” (Super-Aged Society) ซึ่งหมายถึงภาวะที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 28% ของประชากรทั้งหมด ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าหลายจังหวัดในภาคเหนือตอนบนได้เดินทางมาถึงจุดนี้แล้ว เช่น พะเยา แพร่ และลำปาง ขณะที่จังหวัดน่านเองก็น่าห่วง ด้วยสัดส่วนผู้สูงอายุที่ 26.11% และคาดว่าจะกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดในอีกไม่ช้า นัยสำคัญของปรากฏการณ์นี้ คือ สัดส่วนประชากรวัยแรงงานต่อผู้สูงอายุกำลังลดลงอย่างน่าใจหาย จากเดิมที่คนวัยทำงานหนึ่งคนอาจช่วยดูแลพ่อแม่ของตนเอง ปัจจุบันคนคนเดียวกันอาจต้องรับภาระดูแลทั้งพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่อีกหลายท่านไปพร้อมกัน
ยุทธศาสตร์ ‘อยู่ดี กินดี และตายดี’มุ่งสู่การมีสุขภาวะที่ดีในทุกมิติของชีวิต
ท่ามกลางข้อมูลและสถิติที่ท้าทาย เครือข่ายภาคประชาสังคมล้านนาไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ได้ร่วมกันพัฒนากรอบคิดและเป้าหมายร่วมกันในการรับมือสังคมสูงวัยอย่างเป็นองค์รวม ภายใต้ยุทธศาสตร์ ‘อยู่ดี กินดี และตายดี’ ซึ่งไม่ได้มองแค่การ “รอด” แต่มุ่งไปสู่การมีสุขภาวะที่ดีในทุกมิติของชีวิต
ยุทธศาสตร์นี้ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่
อยู่ดี (Live Well): คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตและส่งเสริมความสัมพันธ์ในชุมชนเพื่อป้องกันภาวะโดดเดี่ยว เช่น เมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ และบ้านที่ปลอดภัย
กินดี (Eat Well): คือการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง เข้าถึงการรักษาพยาบาล และมีความมั่นคงทางการเงินผ่านการมีงานที่เหมาะสมและการออม เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้
ตายดี (Die Well): คือการดูแลในช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและสงบ ผ่านการวางแผนชีวิตล่วงหน้า (Living Will) และการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)
“ธรรมนูญผู้สูงอายุท่าวังผา” ต้นแบบการดูแลองค์รวมภาคเหนือ
อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ได้พัฒนากรอบการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม ภายใต้ชื่อ “ธรรมนูญผู้สูงอายุท่าวังผา” โดยยึดหลักสำคัญ 3 ประการคือ “กินดี อยู่ดี และตายดี” ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความท้าทายด้านสังคมสูงวัยและความมั่นคงทางอาหารของภาคเหนือตอนบนอย่างเป็นระบบ
หลักการ “กินดี” มุ่งเน้นไปที่การสร้างความมั่นคงทางอาหารที่ปลอดภัยและส่งเสริมโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ โดยเน้นการ ลดหวาน มัน เค็ม และลดการบริโภคอาหารสำเร็จรูป ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้รับ อาหารปลอดภัยและปลอดสารเคมี ซึ่งสอดคล้องกับวาระจังหวัดน่านที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ในส่วนของ “อยู่ดี” คือการสร้างสภาพแวดล้อมและบริการที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและต่อเนื่อง โดยครอบคลุมหลายมิติ ได้แก่ การจัดตั้ง โรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่อเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และการมีส่วนร่วม การให้บริการด้านสุขภาพและการดูแลระยะยาว (LTC) การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมี อาชีพ และกิจกรรมที่ช่วยสร้างสติสมาธิและรายได้ การจัดให้มี บ้านพักคนชรา (Day Care Center) และ บ้านพัก ที่ปลอดภัย รวมถึงการจัดสวัสดิการชุมชน นอกจากนี้ ตำบลป่าคา ยังเชื่อมโยงระบบดูแลและพัฒนาชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย โดยมีต้นแบบความสำเร็จที่บ้านหนองบัวและบ้านดอนแก้ว ซึ่งเป็นตัวอย่างของชุมชนที่มีโรงเรียนผู้สูงอายุครอบคลุมทุกหมู่บ้าน
สุดท้าย หลักการ “ตายดี” มุ่งเน้นการดูแลในช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างสงบและมีศักดิ์ศรี ผ่านการจัดตั้ง ศูนย์ชีวกาทิกาล (End-of-life care) เพื่อให้การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) อย่างเหมาะสม และส่งเสริมการจัดทำ พินัยกรรมชีวิต (Living Will) เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถวางแผนชีวิตล่วงหน้าได้อย่างครบถ้วน ธรรมนูญนี้จึงเป็นต้นแบบที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างสังคมที่ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ มีบทบาทในเชิงเศรษฐกิจ และได้รับการดูแลอย่างสมบูรณ์ตลอดช่วงชีวิต จนถึงวาระสุดท้ายอย่างสงบ
ความมั่นคงทางอาหารในประเทศไทยและภาคเหนือตอนบน สถานการณ์และความท้าทาย
ประเด็นความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) นับเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ซึ่งแม้จะได้รับการยอมรับว่าเป็น “ครัวของโลก” แต่ระบบอาหารไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน ทั้งด้านคุณภาพ ความเท่าเทียม และความยั่งยืน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ศศิธร สุขจิตต์ ได้วิเคราะห์สถานการณ์นี้โดยใช้กรอบแนวคิด 4 เสาหลักขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) คือ การมีอาหารเพียงพอ (Availability), การเข้าถึงอาหาร (Access), การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Utilization), และการมีเสถียรภาพ (Stability)
ความท้าทายของระบบอาหารไทยโดยรวม
ประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหารในเชิงปริมาณสูง แต่ปัญหาหลักอยู่ที่คุณภาพอาหารและความเท่าเทียมในการเข้าถึง โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรเปราะบาง ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ทำให้ประชาชนบางส่วนยังคงเข้าไม่ถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญกับ “ภาระสองเท่าของภาวะทุพโภชนาการ” คือมีทั้งปัญหาการขาดสารอาหารควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จากการบริโภคที่ไม่สมดุล ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดที่พบว่า อัตราความชุกของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล โดยมีพฤติกรรมเสี่ยงทางโภชนาการเป็นปัจจัยสำคัญ เช่น คนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยสูงถึง 3,650 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสูงกว่าคำแนะนำถึงเกือบสองเท่า
บริบทและความเปราะบางในภาคเหนือตอนบน
ภาคเหนือตอนบนมีความสำคัญในฐานะแหล่งผลิตอาหารหลักของประเทศ และเป็นพื้นที่ที่ยังคงระบบอาหารพื้นถิ่นไว้ แต่กลับมีความเปราะบางสูงในหลายมิติ ได้แก่ การมีอาหารเพียงพอ (Availability) พื้นที่เป็นแหล่งผลิตพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว ข้าวโพด และลำไย อีกทั้งยังมีการผลิตเพื่อยังชีพ เช่น การหาอาหารจากป่าและการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคงทางอาหารระดับครัวเรือน การเข้าถึงอาหาร (Access) ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจทำให้ครัวเรือนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านรายได้ การเดินทาง และสุขภาพช่องปาก เข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าได้ยาก การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Utilization) มิตินี้สะท้อน วิกฤตคุณภาพอาหาร อย่างชัดเจน เช่น มีรายงานการตรวจพบ สารโลหะหนัก ในพืชผักบางชนิด และที่สำคัญคือ อาหารพื้นเมืองจำนวนมากมีปริมาณโซเดียมสูง จากวิธีการถนอมอาหารแบบดั้งเดิม ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองที่เพิ่มขึ้นในเขตสุขภาพที่ 1 เสถียรภาพของระบบอาหาร (Stability) ระบบอาหารกำลังเผชิญแรงกดดันจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม การทำเกษตรเชิงเดี่ยวที่ไม่ยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่นำไปสู่การใช้สารเคมีสูง การบุกรุกป่า และปัญหาหนี้สินเกษตรกร
แนวทางการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย
การสร้างความมั่นคงทางอาหารที่แท้จริงต้องอาศัยแนวทางบูรณาการและ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน บทเรียนจาก จังหวัดน่าน ถือเป็นกรณีศึกษาที่เป็นรูปธรรม โดยเริ่มต้นจากการกำหนด “วาระร่วมของพื้นที่” เพื่อสร้างเป้าหมายร่วมกัน จากนั้นพัฒนา “นโยบายสาธารณะ” ที่สอดคล้องกับท้องถิ่น และจัดตั้ง “กลไกขับเคลื่อนและติดตามผล” ที่ทำงานได้จริง
แนวทางการขับเคลื่อนควรมุ่งเน้น คือ 1.สร้างความปลอดภัยของอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต 2. ส่งเสริมระบบเกษตรยั่งยืน เพื่อลดการใช้สารเคมีและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3.เพิ่มการเข้าถึงอาหาร ในกลุ่มเปราะบาง 4.ผลักดันแนวคิด “อาหารเป็นยา” 5.สร้างเสถียรภาพของระบบอาหาร ด้วยการกระจายความเสี่ยงทางการผลิตและการตลาด
ระบบรองรับสังคมสูงวัยและความมั่นคงทางอาหาร
ผลสรุปจากเวทีเสวนาระบบรองรับสังคมสูงวัยและความมั่นคงทางอาหาร โดย คุณสำรวย ผัดผล ประธานมูลนิธิฮักเมืองน่าน, พันจ่าเอกนพดล พรมรักษา ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบจ.น่าน, นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน, นางนภาพร มหายศนันท์ ภาคีเครือข่ายแกนนำจังหวัดน่าน ผู้เข้าร่วมเสวนาชี้ให้เห็นว่า จังหวัดน่านได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นจริงของ สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ ด้วยสัดส่วนผู้สูงอายุที่สูงถึงร้อยละ 25-26 พุ่งสูงถึงร้อยละ 50 ในบางหมู่บ้าน ซึ่งทำให้เหลือเพียงผู้สูงอายุอาศัยอยู่กับหลาน ขณะที่วัยแรงงานย้ายเข้าเมืองใหญ่ ความซับซ้อนและข้อจำกัดเชิงโครงสร้างเหล่านี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการขับเคลื่อนงานอย่างจริงจังและเป็นระบบเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง โดยมีบทเรียนสำคัญจากวงเสวนาหลายประการ บทเรียนแรกคือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการมองผู้สูงอายุให้เป็น “ผู้สร้าง” และ “ทรัพยากรที่มีคุณค่า” โดยยึดปรัชญาการเริ่มต้นจากการถามว่าผู้สูงอายุต้องการอะไรและอยากทำอะไร ซึ่งเป็นการยอมรับในศักดิ์ศรีและความสามารถของท่าน
ในมิติของ ความมั่นคงทางอาหาร ที่น่านไม่ได้มุ่งเน้นที่ฟาร์มขนาดใหญ่ แต่ให้ความสำคัญกับการ อนุรักษ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเฉพาะการต่อต้านการทำลายล้างพันธุกรรมดั้งเดิมที่มาพร้อมกับการเกษตรเชิงเดี่ยว และหันมาฟื้นฟูแหล่งอาหารธรรมชาติอย่างยั่งยืน อาทิ การอนุรักษ์ “วังปลา” หรือเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำในลำน้ำน่านได้มากกว่า 130 แห่ง เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการส่งเสริม พันธุ์ข้าวพื้นเมือง “น่าน 59” ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและน้ำตาลน้อย เหมาะสำหรับสุขภาพของผู้สูงอายุ ซึ่งสะท้อนว่าความมั่นคงที่แท้จริงคือการที่ชุมชนสามารถควบคุมแหล่งอาหารและความหลากหลายทางชีวภาพของตนเองได้
ส่วนการดูแลสุขภาพดีนั้น หน่วยงานสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการป้องกันปัญหาที่ไม่ซับซ้อนแต่มีผลกระทบสูงอย่าง “การพลัดตกหกล้ม” และ “ภาวะสมองเสื่อม” ด้วยการปรับสภาพแวดล้อมให้เป็น “เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ” ขณะเดียวกัน ภาคประชาสังคมก็ได้เชื่อมโยง “เกษตรกรรายย่อย” ที่ปลูกพืชปลอดภัย กับ “ผู้สูงอายุในเขตเมือง” ผ่านระบบจัดส่งตรงถึงบ้าน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจฐานรากไปพร้อมกัน
บทเรียนทั้งหมดนี้ถูกร้อยเรียงด้วยปรัชญาที่ว่า “จงกินอาหารให้เป็นยา ไม่ใช่กินยาเป็นอาหาร” และ “อาหารอายุสั้น คนกินจะอายุยืน อาหารอายุยืน คนกินอายุสั้น” ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการสร้างสังคมสุขภาวะที่เน้นการป้องกันและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านอาหารที่เราบริโภคทุกวัน
บทสรุปของการทำงานที่น่านจึงชี้ให้เห็นว่า การรับมือกับสังคมสูงวัยอย่างเป็นองค์รวม ตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ในนาข้าวไปจนถึงสภาพแวดล้อมในเมือง ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และเป็นการทำงานเพื่อตัวเราเองในอนาคตอย่างแท้จริง
