ทิศทางของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในงานสร้างเสริมสุขภาพ
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติของชีวิตประจำวัน วงการสุขภาพเองก็ไม่อาจปฏิเสธกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ การเปลี่ยนผ่านสู่ Digital Healthcare กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการเสริมสร้างสุขภาวะทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ ซึ่งคนทำงานด้านสุขภาพจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือและใช้ประโยชน์จากแนวโน้มใหม่นี้อย่างเต็มที่ ดร.ชัยธร ลิมาภรณ์วณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์นวัตกรรม และสถาบันการมองอนาคตนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ให้ข้อมูลเรื่องนี้ว่า
บทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลต่อสุขภาวะ
เทคโนโลยีได้เข้ามาเติมเต็มการดูแลสุขภาพในหลายด้าน ตั้งแต่ Mental Health Apps, Online Therapy, Wearable Devices, Telemedicine ไปจนถึงแพลตฟอร์มการเชื่อมต่อสังคมที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอย่างตระหนักรู้ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงทำให้การดูแลสุขภาพเข้าถึงง่ายขึ้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาวะแบบองค์รวมทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม
Data-Driven Healthcare แรงขับเคลื่อนสำคัญของการดูแลสุขภาพ
ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดของการดูแลสุขภาพ การขับเคลื่อนสู่ Data-Driven Healthcare จึงไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็น “ทางรอด” ของระบบสุขภาพทั่วโลก จากรายงานของ Arthur D. Little ระบุว่า มี 8 แรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่องค์กรและหน่วยงานสาธารณสุขต้องให้ความสำคัญเพื่อสร้างระบบสุขภาพที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้จริง ได้แก่
- Technology Trends
เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น อุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) และบริการบนคลาวด์ ทำให้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยสามารถสื่อสารและติดตามผลลัพธ์ทางสุขภาพได้แบบเรียลไทม์ สร้างโอกาสในการปรับเปลี่ยนการดูแลให้เป็นรายบุคคลและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น - Data Quality and Availability
ข้อมูลต้อง “ชัด” “พร้อมใช้งาน” และ “เชื่อมโยง” ได้ เพื่อให้สามารถนำไปวิเคราะห์ตอบโจทย์ทางคลินิกหรือเชิงนโยบายได้จริง การกำหนดมาตรฐานร่วม (Interoperability) และการดูแลความครบถ้วนของข้อมูล (Actionability) จึงเป็นหัวใจสำคัญ - Data Security
ระบบสุขภาพดิจิทัลต้องออกแบบมาด้วยหลัก “Secure by Design” เพื่อปกป้องข้อมูลผู้ป่วยจากการรั่วไหลและการโจมตีทางไซเบอร์ อีกทั้งยังต้องสอดคล้องกับกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวด - Enabling Ecosystem
รัฐและภาคส่วนต่างๆ ต้องร่วมกันสร้างนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมสุขภาพดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนทุนวิจัย การสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนความรู้ ตลอดจนการผลักดันให้ระบบสุขภาพผสานงานกันอย่างเป็นองค์รวม - Public-Private Partnerships
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนช่วยขยายศักยภาพของการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในทางการแพทย์ แต่ก็ต้องจัดการเรื่องความเป็นเจ้าของข้อมูล (Data Ownership) และจริยธรรมการนำข้อมูลสาธารณะไปใช้ให้รัดกุม - Patient Participation
การสร้างสุขภาวะที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจำเป็นต้องอาศัยความสมัครใจของประชาชนในการแบ่งปันข้อมูลสุขภาพ การสร้างความเข้าใจในประโยชน์ของการแชร์ข้อมูล และการรับรองความเป็นส่วนตัว จึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน - Change Management in the Healthcare Industry
องค์กรด้านสุขภาพต้องสร้างวัฒนธรรมที่เปิดรับนวัตกรรม จัดการกับอคติเดิมๆ และส่งเสริมการทำงานแบบบูรณาการข้ามองค์กร จึงเป็นกุญแจสำคัญในการนำ Data-Driven Healthcare สู่การปฏิบัติ - Skills Development
แม้จะมีข้อมูลมากมาย หากขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และวิธีคิดเชิงดิจิทัล (Digital Mindset) ก็ไม่อาจเปลี่ยนข้อมูลเป็นคุณค่าได้จริง การลงทุนพัฒนาคนจึงต้องเดินควบคู่ไปกับการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีด้วย
นวัตกรรมสุขภาพที่น่าจับตามอง
ตัวอย่างนวัตกรรมที่น่าสนใจ เช่น PharmaSee ระบบค้นหายาด้วย AI, GinDee แพลตฟอร์มโภชนาการเฉพาะบุคคล และ Genfosis ที่ใช้ DNA วิเคราะห์สุขภาพเฉพาะบุคคล รวมถึง DigiPro ที่ยกระดับทันตกรรมด้วยการออกแบบรอยยิ้มแบบ 3D และ AI ลดข้อผิดพลาดในการสื่อสารและวางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงศักยภาพของเทคโนโลยีไทยในเวทีระดับโลก
สำหรับผู้ทำงานด้านสุขภาพ การเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัล การพัฒนาความรู้เท่าทันเทคโนโลยี และการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมองค์กรคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบสุขภาพดิจิทัลเกิดผลจริง
“Digital Health” – เทคโนโลยีสุขภาพดิจิทัลขับเคลื่อนทุกมิติสุขภาพ
ในโลกที่เทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อนทุกมิติของชีวิต “Digital Health” หรือเทคโนโลยีสุขภาพดิจิทัล ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการยกระดับระบบสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของประเทศไทย ซึ่งมีทั้งความหลากหลายของพื้นที่ ความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึง และความท้าทายจากสังคมสูงวัย
สำหรับผู้ทำงานด้านสร้างเสริมสุขภาพ บทบาทของ Digital Health ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือโอกาสในการปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีเข้าถึงประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คุณมาตัส ลิ้มนนทกุล ที่ปรึกษานายกสมาคมไทยไอโอที ให้มุมมองการใช้งาน Digital Health ที่น่าจับตามอง ดังนี้
- mHealth (Mobile Health) – การใช้แอปพลิเคชันและอุปกรณ์สวมใส่เพื่อติดตามสุขภาพ คิดเป็นสัดส่วนถึง 38% ของการใช้งานทั้งหมด เช่น การวัดชีพจร ความเครียด หรือระดับน้ำตาลในเลือด
- Health Information Technology (HIT) – ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพระหว่างหน่วยบริการ
- Telemedicine – การปรึกษาแพทย์ทางไกล ลดระยะทางและเวลาสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล
- Health Analytics – การใช้ข้อมูลวิเคราะห์แนวโน้มสุขภาพของประชากรแบบ Real-time เพื่อวางแผนเชิงกลยุทธ์
- AI และ IoMT – เทคโนโลยีล้ำหน้าอย่าง AI, Blockchain และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อการแพทย์ (IoMT)
- การวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูลข้ามระดับ – ตั้งแต่บุคคล จังหวัด เขตสุขภาพ ไปจนถึงระดับชาติ
คนทำงานสร้างเสริมสุขภาพควร “เข้าใจการใช้งานตามระดับ” ดังนี้
- ระดับบุคคล: ส่งเสริมการดูแลสุขภาพตนเองแบบ Proactive ผ่านแอป, อุปกรณ์ wearable และ telemedicine ที่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน
- ระดับจังหวัด: ใช้ Dashboard สุขภาพ, ระบบเฝ้าระวังโรค, และการจัดการทรัพยากรแบบ Data-driven เพื่อวางแผนบริการที่เหมาะสม
- ระดับเขตสุขภาพ: บูรณาการข้อมูลระหว่างจังหวัด, ใช้ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูล และวิเคราะห์แนวโน้มโรคระดับภูมิภาคเพื่อออกแบบบริการที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่
- ระดับกระทรวง: วางรากฐานด้านนโยบาย กำหนดมาตรฐานข้อมูล สร้าง Health Platform แห่งชาติ และพัฒนาศูนย์ข้อมูลสุขภาพ (THDC)
ที่มา : เวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ “เทคโนโลยีดิจิทัล: แนวโน้มและการปรับใช้ของโลกสุขภาพ” จัดโดย สภส. ร่วมกับ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 8 พฤษภาคม 2568