โหม่เราสานพลัง สร้างหมู่บ้านน่าอยู่ที่สุดในโลก ร่วมกันเราทำได้
สานพลังเครือข่ายขับเคลื่อนกระบี่
“อยู่เย็นเป็นสุข สู่สังคมสุขภาวะ”
กับ NODE กระบี่
นายทวีชัย อ่อนนวน
หน่วยจัดการร่วม สสส. ระดับพื้นที่ จ.กระบี่ หรือ โหนดกระบี่(Node) ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนกระบวนการทำงานร่วมกันของภาครัฐ ท้องถิ่น ท้องที่ ภาคธุรกิจ เอกชน สมาคม มูลนิธิต่างๆ รวมทั้งสื่อมวลชน โดยเป้าหมายหลักคือ “กระบี่อยู่เย็นเป็นสุข” ภายใต้ปฏิญญา “กระบี่ GO GREEN”
ตลอดการขับเคลื่อนการทำงานอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่ผ่านมา ทำให้เกิดรูปธรรมการทำงานอย่างชัดเจนในหลากหลายประเด็น ดังน
- เกิดข้อเสนอนอนโยบายสาธารณะสมัชชาสุขภาพระดับจังหวัด ระดับภาค ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขภาพ ด้านสังคม เกิดธรรมนูญ สุขภาพผู้สูงอายุและการจัดการสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับจังหวัดและตำบล
- เกิดการลงนามข้อตกลงMOUในระดับอำเภอ ตำบลและภาคีเครือข่าย
- เกิดพื้นที่รูปธรรมระดับหมู่บ้านและชุมชน (ชุมชนสุขภาวะ สสส.) จำนวน 80 ชุมชน ( ปีพ.ศ.2562 – 2566)
- เกิดการบูรณาการข้อมูลร่วมกันทั้งภาครัฐและประชาสังคม สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาคนเปราะบางทางสังคมร่วมกันกับ พมจ. พอช. มูลนิธิ
- เกิดชุมชนต้นแบบก้าวข้ามวิกฤตด้วยวิถีศาสนา มีรายได้ในกลุ่มองค์กร และการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยชุมชน
สร้างเสริมสุขภาวะฝ่าวิกฤต “บ้านโคกยูง”
ต.คลองยาง อ.เกาะลันตา จ.กระบี่
หมู่ 3 บ้านโคกยูง ตั้งอยู่ใน ต.คลองยาง อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เป็นชุมชนชนบท มี 279 ครัวเรือน ชุมชนบ้านโคกยูงอยู่ห่างจากตัวเมือง จ.กระบี่ 65 กิโลเมตร มีกลุ่มอาชีพหลักๆ 4 กลุ่มคือ กลุ่มกะปิกลุุ่มประมง กลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเลี้ยงปลาในกระชัง (ข้อมูลจากแผนพัฒนาชุมชน) คนในชุมชนส่วนใหญ่อยู่กันแบบเครือญาติ ส่งผลให้ครอบครัวมีความรักความอบอุ่นในระดับที่ดี ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ชอบที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พื้นที่ส่วนใหญ่ของคนในชุมชนจะปลูกปาล์มน้ำมัน และทำสวนยางพารา
ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้บ้านโคกยูงประสบปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำ คนในบ้านโคกยูงที่ออกจากชุมชนไปรับจ้างทำงานเป็นลูกจ้างโรงแรม ร้านอาหาร หรือกิจการอื่นๆที่ปิดตัวลง กว่า 60 คน ตกงาน/ว่างงาน ส่งผลให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายเกิดหนี้ในครัวเรือนที่สูงขึ้น คนในชุมชนก็ออกมาร่วมกลุ่มกันทำกิจกรรมน้อยลง มีส่วนร่วมกับกิจกรรมของชุมชนน้อยลง รวมถึงด้านสุขภาพที่เกิดจากพฤติกรรมและการบริโภคที่ไม่เหมาะสม ทำให้คนในชุมชนป่วยเป็นโรคเบาหวาน ไขมัน และความดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสถานการณ์และปัญหาดังกล่าวจึงได้มีการจัดทำโครงการ “สร้าง เสริมสุขภาวะฝ่าวิกฤต ลดผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ในชุมชน”
กิจกรรมสำคัญในโครงการ
- จัดตั้งคณะทำงานจากแกนนำชุมชนให้มีทั้งคนเก่ง คนดี คนสำคัญที่มีจิตอาสา แบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน ทำแผนการดำเนินงาน ประชุมเพื่อทบทวนงาน แก้ไขปัญหาพร้อมประเมินผลลัพธ์ความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอ
- ฟื้นฟูกลุ่มอาชีพให้มีรายได้เพิ่ม มีการฟื้นฟูความรู้ให้กับคนตกงานได้เรียนรู้ร่วมกันกับคนที่ทำอาชีพเดิมในชุมชน ให้ร่วมกลุ่มกันทำงาน สนับสนุนเครื่องมือและสร้างการเรียนรู้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าในชุมชน การพัฒนาคุณภาพผลผลิต การจัดการตลาดให้สามารถขายสินค้าออนไลน์ได้
- สร้างความเข้มแข็งให้แกนนำและกลุ่มอาชีพในชุมชน
- กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิต โดยให้คณะทำงาน สมาชิก และผู้ที่สนใจ ได้มีการละหมาดร่วมกันเดือนละ 4 ครั้ง มีกิจกรรมปลูกป่าร่วมกันของคนในชุมชน
ผลลัพธ์โครงการ
- เกิดกลุ่มแกนนำที่มีความรู้และทักษะสร้างเสริมสุขภาวะได้มีการจัดทำแผนการดำเนินงาน เกิดข้อตกลงในการทำร่วมกันของกลุ่มอาชีพ
- เกิดกลไกขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาวะ มีการจัดทำแบบบันทึกผลการติดตามงานและประเมินผลการดำเนินงานของกลุ่มอาชีพ รวมทั้งมีการคืนข้อมูลในเวทีประชุมประชาคม เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ
- ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิต และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
จากการถอดบทเรียนผลลัพธ์ความสำเร็จของโครงการ พบว่า “บ้านโคกยูง” ขับเคลื่อนงานผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนโดยยึดหลักศาสนา หรือที่คนในชุมชนเรียกกันว่า “นูหรี” นูหรีเป็นเวทีกลาง พื้นที่กลางที่ทำให้ชุมชนนี้แข็งแรงขึ้นมา โดยใช้ทุนและศักยภาพที่มีอยู่ขับเคลื่อนงานตามกติการ่วมและข้อตกลงของชุมชน รวมถึงมีการพัฒนาศักยภาพของแกนนำและชุมชนอย่างต่อเนื่อง
แผนภาพแสดง โมเดลการสร้างเสริมสุขภาวะฝ่าวิกฤตลดผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19
** แหล่งข้อมูล : เอกสารถอดบทเรียนโครงการสร้างเสริมสุขภาวะฝ่าวิกฤตลดผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 ในชุมชนภาคใต้ตอนบน โครงการย่อยที่ 16
การขับเคลื่อนแนวทาง “สุขภาพพหุวัฒนธรรม”
ในสถานบริการของรัฐและเอกชนในพื้นที่ท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต
รศ.ดร.กุลดา เพ็ชรวรุณ
ภูเก็ตเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยม มีวัฒนธรรมที่หลากหลายและยังเป็นที่รู้จักดีในด้านการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจของภูเก็ต ประกอบกับทิศทางของทั่วโลกก็หันมาสนใจ รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้นทุกๆปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวผู้คนให้ความสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น สอดคล้องกับสังคมปัจจุบันเป็นสังคมผู้สูงอายุ จึงนับเป็นโอกาสดีที่จะส่งเสริมพัฒนาด้านการ
ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ภูเก็ตในบริบทของการท่องเที่ยวเชิงพหุวัฒนธรรม เป็นหนึ่งในแง่มุมที่น่าสนใจอย่างมากเนื่องจากภูเก็ตมีกลุ่มลูกค้าที่มาจากหลากเชื้อชาติและหลากหลายวัฒนธรรม ในมุมผู้ให้บริการการให้บริการทางด้านการท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพให้กับลูกค้าที่มีหลากหลายวัฒนธรรมเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ซึ่งอาจรวมถึงความแตกต่างด้านภาษาและการสื่อสาร การสื่อสารอาจเป็นปัญหาหลัก เมื่อพนักงานไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาของลูกค้าได้ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด หรือความไม่พอใจในการบริการ ความแตกต่างทางประเพณีและค่านิยมที่แตกต่างกัน อาจส่งผลต่อความคาดหวังและปฏิกิริยาต่อบริการที่ได้รับ
จากความท้าทายดังกล่าวข้างต้น ผู้ประกอบการต้องการความเข้าใจในด้านวัฒนธรรม การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการปรับเปลี่ยนบริการให้เหมาะสมตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้และความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง
วัตถุประสงค์
ศึกษาแนวทางสำหรับการพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานระบบบริการสุขภาพพหุวัฒนธรรมสำหรับผู้ประกอบการและหน่วยบริการสุขภาพในจังหวัดภูเก็ต โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้รับบริการและผู้ให้บริการที่มุ่งตอบสนองต่อความต้องการทางจิตวิญญาณศาสนา วัฒนธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละชาติพันธุ์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางด้านสุขภาพ
ผลการดำเนินโครงการ
- มีแผนการขับเคลื่อนแนวทางสุขภาพพหุวัฒนธรรม ในสถานบริการของรัฐและเอกชนในพื้นที่ท่องเที่ยว
- เกิดกลไกการมีสวนร่วมและการสร้างความร่วมมือของหน่วยงาน ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อน guideline ในพื้นที่ท่องเที่ยว
- ภาคีเครือข่ายที่ได้รับการพัฒนา ศักยภาพมีความรู้และเข้าใจกระบวนการนโยบายสาธารณะ
- ข้อควรปฏิบัติและข้อควรหลีกเลี่ยงในการให้บริการกลุ่มลูกค้าหลากหลายศาสนา
- คู่มือการให้บริการสปาในมิติพหุวัฒนธรรม และสื่อวิดิทัศน์ 5 ภาษา ไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น รัสเชีย
- แนวทางการปฏิบัติสำหรับสำหรับผู้รับบริการในมิติพหุวัฒนธรรม กรณีศึกษาแผนกทันตกรรม โรงพยาบาลรัฐบาลอังกฤษ จีน รัสเซีย อาหรับ พม่า
- แนวทางการให้บริการในมิติพหุวัฒนธรรม กรณีศึกษาแผนกส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลเอกชน
ศาลาด่านโมเดล
ท่องเที่ยวปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ดร.ฐิติชญาน์บุญโสม
ศาลาด่านโมเดลได้นำแนวทางนโยบายสาธารณะมาเป็นเข็มทิศในการดำเนินโครงการ โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมและคำนึงถึงการพัฒนาศาลาด่านที่สามารถบูรณาการเชื่อมโยงทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ การสร้างความมั่นคงด้านฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม และการเมือง
วัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะ สร้างความยั่งยืน โดยใช้หลักวิชาการทำงานขับเคลื่อนกับกลไกท้องถิ่นคือเทศบาลตำบลศาลาด่าน ที่มีบริบทหลากหลายทั้งฐานทรัพยากรธรรมชาติทางบก ทางทะเล ความผสมผสานทางวัฒนธรรม พุทธ จีน มุสลิม และชาติพันธุ์ชาวเล มีโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจท่องเที่ยว
ผลที่ได้รับ
- การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย เกิดคุณค่าใหม่องค์ความรู้ใหม่ เกิดการเชื่อมโยงประสานระหว่างกลุ่ม/เครือข่าย (ในและหรือนอกชุมชน)
- การจัดการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์สามารถยกระดับให้มีชื่อเสียงระดับสากลได้เป็นการจัดการท่องเที่ยวที่รักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติการอนุรักษ์วิถีวัฒนธรรมประมงพื้นบ้าน และลดความเหลื่อมล้ำ
- การออกเทศบัญญัติเพื่อการจัดการด้านการอนุรักษ์ฐานทรัพยากรโดยใช้ทุนในพื้นที่เชื่อมโยงการทำงาน โดยชุมชนมีส่วนร่วม และเปิดโอกาสการทำงานให้กับกลุ่มเปราะบางได้เข้ามามีส่วนร่วม
การดำเนินงานเพื่อยกระดับและขยายผลกระบวนการทำงานแบบเครือข่ายการทำงาน และเพิ่มการประสานความร่วมมือของภาคีที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ร่วมขับเคลื่อนในประเด็นความมั่นคงทางด้านฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เชื่อมโยงกับประเด็นอื่น นับได้ว่า เกิดเป็นความร่วมมือการทำงานแบบภาคีเครือข่ายครบถ้วน ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้โดยใช้แนวทางนโยบายสาธารณะเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินงาน และเพื่อสร้างความเข้าใจต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ นักวิจัยได้กำหนดนิยามของศาลา
ด่านโมเดล: การท่องเที่ยวปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไว้ดังนี้
ศาลาด่านโมเดล หมายถึง พื้นที่ต้นแบบทางกายภาพ ที่ตั้งทำเลที่เหมาะสม ต้นแบบด้านการบริหารจัดการบ้านเมืองภายใต้หลักธรรมาภิบาลโดยเทศบาลตำบลศาลาด่าน และต้นแบบของการจัดการท่องเที่ยวภายใต้ฐานการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสร้างความปลอดภัยในทุกมิติเชื่อมโยงกับการสร้างความมั่นคงทางมนุษย์ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ความมั่นคงทางสุขภาพ และความมั่นคงทางอาหาร
การท่องเที่ยวปลอดภัย หมายถึง ความปลอดภัยใน 2 ระดับ
1) ความปลอดภัยจากการเท่าทันภัยธรรมชาติเศรษฐกิจและภัยสังคม
ภัยธรรมชาติ คนในชุมชนมีความพร้อมความเข้าใจในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เรียนรู้ เข้าใจ เกิดความตระหนักต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อลดผลกระทบ(Mitigation)และเรียนรู้ในการตั้งรับปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภัยพิบัติ
ภัยเศรษฐกิจ คนในชุมชนเท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงของทุนนิยมการลงทุนเศรษฐกิจแนวใหม่ โดยใช้เทคโนโลยี เท่าทันสื่อใหม่ สร้างคุณค่า มูลค่าสินค้าในชุมชน
ภัยทางสังคม คนในชุมชนมีภูมิคุ้มกันที่ดี มีรากฐานทางสังคมที่ดีวิถีวัฒนธรรมพหุวัฒนธรรมที่ดีงาม ยึดมั่นปฏิบัติตามหลักปฏิบัติตามกรอบความเชื่อที่ดีงาม และเป็นสังคมที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีการเฝ้าระวังและร่วมมือกันป้องภัยทางสังคมต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดจากการเดินทาง ทั้งนักท่องเที่ยว และการย้ายมาอยู่อาศัยของคนนอกพื้นที่ รวมทั้งภัยที่มาจากการสื่อสารยุคใหม่
2) ความปลอดภัยทางกายภาพหรือทางโครงสร้าง
ได้แก่ ความปลอดภัยของเส้นทางการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น เส้นทางการจราจรทางบก ถนน ป้ายบอกทาง แสงสว่าง การปรับปรุงเส้นทางที่เอื้อต่อ การเดินทางทั้งทางบก ทางเท้า จักรยาน รถยนต์ รถสาธารณะ และการเดินทาง ด้วยเรือ จุดรับส่งผู้โดยสารที่ได้มาตรการ มีระดับรักษาความปลอดภัย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม เป็นต้น
ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หมายถึง ท้องถิ่น ในที่นี้คือ เทศบาลตำบลศาลาด่าน มีแผนปฏิบัติการ มีแนวทางการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ป่าชายเลน ป่าบก และการจัดพื้นที่สีเขียว การปรับปรุงภูมิทัศน์ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนในท้องถิ่น และเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว