สานพลังภาคีสุขภาวะภาคเหนือ ลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพจาก PM2.5 ผ่านกลไก “สภาลมหายใจ” ชูนวัตกรรม “FireD (ไฟดี)” ยกระดับชุมชนป้องกันไฟป่า คืนอากาศสะอาดสู่ประชาชน

สานพลังภาคีสุขภาวะภาคเหนือ ลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพจาก PM2.5 ผ่านกลไก “สภาลมหายใจ” ชูนวัตกรรม “FireD (ไฟดี)” ยกระดับชุมชนป้องกันไฟป่า คืนอากาศสะอาดสู่ประชาชน

วันนี้น้องบัดดี้ขอเสนอเรื่องราวของทางภาคเหนือครับ
นั่นก็คือ !!!!! พื้นที่ที่ต้องเจอกับวิกฤตสุขภาพครั้งใหญ่ ฝุ่น PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง โดยมีต้นตอที่สำคัญมาจาก “ไฟป่า” และการเผาในภาคเกษตรกรรม

ภาคีสุขภาวะภาคเหนือของเราจะมีวิธีการจัดการปัญหา ทำงานเชื่อมประสานกันแบบไหน เกิดผลลัพธ์การทำงานอย่างไรบ้าง มาติดตามเรื่องราวไปพร้อม ๆ กันเลยครับ
……..
…….
..
สานพลังภาคีสุขภาวะภาคเหนือ ลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพจาก PM2.5 ผ่านกลไก “สภาลมหายใจ” ควบคู่ไปกับการรักษา “ป่าต้นน้ำ” ชูนวัตกรรม FireD (ไฟดี) ยกระดับชุมชนป้องกันไฟป่า คืนอากาศสะอาดสู่ประชาชน
ด้วยสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศในเขตพื้นที่ภาคเหนือเป็นป่าไม้ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ของทุกปี เป็นฤดูกาลที่เกิด “ไฟป่า” ภัยที่เกิดจากธรรมชาติในช่วงฤดูแล้ง โดยเฉลี่ยในแต่ละปี ภาคเหนือเกิดไฟป่ากว่า 8 แสนไร่ ซึ่งนับเป็นจำนวนความเสียหายของทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ หรือฝุ่น PM2.5 ซึ่งหากติดตามข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ จะทราบดีว่า ในเขตพื้นที่ภาคเหนือมักเกิดไฟป่าและวิกฤตฝุ่น PM2.5 จนกลายเป็นฤดูกาลของมลพิษทางอากาศไปเสียแล้ว

แต่ทว่าสาเหตุของฝุ่น PM2.5 ไม่ได้เกิดจากไฟป่าแต่เพียงอย่างเดียว อีกหนึ่งสาเหตุคือการเผาในที่โล่งจากภาคการเกษตรอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบโดยตรงกับสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง ปัญหาวิกฤตฝุ่นควันจึงเป็นวิกฤตของสุขภาพที่ต้องเร่งแก้ไข ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และทำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อคืนลมหายใจที่สะอาดให้กับทุกคน ป้องกันไฟป่า รักษาป่าต้นน้ำ กลไกสำคัญ ที่ช่วยลดฝุ่นควันอย่างยั่งยืน

พี่เดโช ไชยทัพ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ภาคเหนือ) ผู้ขับเคลื่อนสุขภาวะด้วยการรักษาป่าต้นน้ำ ป้องกันไฟป่า ในเขตพื้นที่ภาคเหนือ เจ้าของรางวัลสุดภาคภูมิใจ VOV AWARD 2022 จาก สสส.

พี่เดโช บอกว่าปี ๆ หนึ่งภาคเหนือเกิดไฟป่ากว่า 8 แสนไร่ สร้างความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก ทั้งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและเกิดโดยฝีมือมนุษย์จากการเผาในพื้นที่ทำการเกษตร จากพื้นที่ภาคเหนือและพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้าน นับเป็นวิกฤตที่ยากจะควบคุม แต่หลังจากที่มีการผลักดันให้มี “พ.ร.บ. ป่าชุมชน ปี พ.ศ. 2562 หรือที่เรียกกันให้เข้าใจง่ายว่า “พ.ร.บ. ป่าชุมชน” ทำให้การจัดการไฟป่าทำงานได้ง่ายขึ้น โดยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ที่เป็นจุดการไฟป่าที่เข้มแข็งกว่า 10 ตำบล 20 หมู่บ้าน เป็นชุมชนต้นแบบที่มีการทำแผนการจัดการไฟป่าอย่างชัดเจนด้วยพลังของชุมชน ชูนวัตกรรม “FireD (ไฟดี)” ป้องกันไฟป่า ลดการเผา เราทำได้ สร้างบรรทัดฐานใหม่สู่ภาคการเกษตร

ในส่วนของรณรงค์ลดการเผาในภาคเกษตรกรรมให้น้อยลง พี่เดโช บอกว่า

”การเผาในที่โล่งในภาคการเกษตรในอดีตเราควบคุมไม่ได้ ไม่มีการวางแผนการเผา ซึ่งเราไม่สามารถที่จะลดได้ในทันที ในส่วนของเชียงใหม่จัดการโดยผ่านนวัตกรรม “แอปพลิเคชัน FireD (ไฟดี)”

ที่จะช่วยบันทึกข้อมูลชุมชน ลดจุดความร้อน (Hotspot) และเปิดให้ชุมชนลงทะเบียนขออนุญาตเผาในพื้นที่เกษตร โดยการแจ้งพิกัดพื้นที่ที่ชัดเจน เพื่อจำกัดการเผาให้ลดลงตามความเหมาะสม รวมถึงให้ความรู้กับเกษตรกรถึงระบบการเกษตรที่ไม่จำเป็นต้องเผา ซึ่งเรื่องนี้ยังต้องถูกผลักดันและพัฒนาต่อยอดต่อไปให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทำการเกษตร เพื่อช่วยกันลดปัญหาฝุ่นควันได้อีกทางหนึ่ง

ทำงานข้ามพื้นที่ ข้ามประเด็น เห็นผลลัพธ์ใหม่ที่ชัดเจน สู่การสร้างรายได้จากป่าชุมชน

“การทำงานข้ามพื้นที่ ข้ามประเด็นจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีจาก สำนักพัฒนาภาคีสัมพันธ์และวิเทศสัมพันธ์ (สภส.) ซึ่งเข้ามาสนับสนุนกลไกการทำงานประเด็นการจัดการไฟป่าโดยชุมชน ใน 3 ส่วนหลัก คือ

1. เปิดพื้นที่เวที “โชว์ แชร์ เชื่อม” ที่ให้ภาคีได้แลกเปลี่ยนแนวคิด วิธีการทำงาน การแก้ไขปัญหา ยกระดับให้การจัดการไฟป่าเป็น Agenda หรือวาระที่ต้องเกิดการจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมของจังหวัด

2. ในแง่ของการสื่อสาร สภส. สนับสนุนแนวความคิด เสริมพลังความรู้ในการผลิต Content สื่อสารผ่านเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า Forest Book เพื่อรณรงค์ให้สังคมเห็นถึงคุณค่าของทรัพยากรป่าไม้และหวงแหนรักษาไว้ คืนสมดุลให้ธรรมชาติ

3. การเชื่อมประสานภาคีทั้งในระดับพื้นที่ชุมชน ระดับจังหวัด ไปจนถึงระดับภาค สภส. ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยเชื่อมประสาน เชื่อมโยงการทำงานระหว่างภาคีในแบบของการข้ามภารกิจ จนเกิดผลลัพธ์การทำงานใหม่ และเห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนใน 2 พื้นที่ ในระดับจังหวัด คือ จังหวัดพะเยา เกิดการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการทำแผนการจัดการท่องเที่ยวในป่าชุมชน สามารถสร้างรายได้จากป่าชุมชน และในพื้นที่จังหวัดลำปาง เกิดการเชื่อมประสาน โดยมีภาคีจากภาคธุรกิจเข้ามาหนุนเสริม เชื่อมโยงให้เกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนจากป่าชุมชน ที่ได้ประโยชน์ทั้งคนและป่า

Shares:
QR Code :
QR Code